ASTVผู้จัดการรายวัน – บริษัทจดทะเบียน ไตรมาสแรก ปี 54 กำไรสุทธิรวม 205,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เกือบ 30% ขณะที่ยอดขายรวม 2,120,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.22% สร้างสถิติสูงสุดนับแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย ปตท. ยังครองแชมป์กำไรสูงสุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 460 บริษัท คิดเป็น 90.96% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 506 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 32 กองทุน) ที่นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2554 ว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมกำไรสุทธิ 205,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 158,244 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 29.74%
ขณะที่ยอดขายรวมทำสถิติสูงสุดรวม 2,120,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18.22% ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 9.06 % จากงวดไตรมาส 4 ปี 2553 (ยอดขายรวม 1,944,615 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดไตรมาส 1 ปี 2553 มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 393 บริษัท หรือ 85.43%
“ไตรมาสแรกปี 2554 ยอดขายและผลกำไรรวมของบจ.สร้างสถิติสูงสุด เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของทุกปีนับแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจซึ่งมีเสถียรภาพ และศักยภาพของผู้ประกอบการบจ.ในการสร้างกำไรแก่ธุรกิจภายใต้ภาวะต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น และความพร้อมเพื่อการขยายตัวในอนาคต โดยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2553” นายจรัมพร กล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิงวดไตรมาสแรกปี 2554 รวม 182,726 ล้านบาท คิดเป็น 89.01% ของกำไรสุทธิของบจ.ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีก่อน 35.27% มียอดขายเพิ่มขึ้น 19.61% หรือ 297,760 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 84.92% มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 15.96% และต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 18.87% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 19.70% เป็น 20.19%
ส่วน บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรรวมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มเทคโนโลยี โดยกลุ่มที่อัตราการเติบโตของกำไรสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มธุรกิจการเงิน ในขณะที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และหมวดธนาคาร เป็นหมวดธุรกิจที่มีทั้งยอดขายและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก โดยยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 58% ของยอดขายรวมทั้งหมด และกำไรสุทธิของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 67% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 460 บริษัท คิดเป็น 90.96% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 506 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 32 กองทุน) ที่นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2554 ว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมกำไรสุทธิ 205,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 158,244 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 29.74%
ขณะที่ยอดขายรวมทำสถิติสูงสุดรวม 2,120,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18.22% ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 9.06 % จากงวดไตรมาส 4 ปี 2553 (ยอดขายรวม 1,944,615 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดไตรมาส 1 ปี 2553 มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 393 บริษัท หรือ 85.43%
“ไตรมาสแรกปี 2554 ยอดขายและผลกำไรรวมของบจ.สร้างสถิติสูงสุด เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของทุกปีนับแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจซึ่งมีเสถียรภาพ และศักยภาพของผู้ประกอบการบจ.ในการสร้างกำไรแก่ธุรกิจภายใต้ภาวะต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น และความพร้อมเพื่อการขยายตัวในอนาคต โดยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2553” นายจรัมพร กล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิงวดไตรมาสแรกปี 2554 รวม 182,726 ล้านบาท คิดเป็น 89.01% ของกำไรสุทธิของบจ.ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีก่อน 35.27% มียอดขายเพิ่มขึ้น 19.61% หรือ 297,760 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 84.92% มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 15.96% และต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 18.87% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 19.70% เป็น 20.19%
ส่วน บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรรวมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มเทคโนโลยี โดยกลุ่มที่อัตราการเติบโตของกำไรสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มธุรกิจการเงิน ในขณะที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และหมวดธนาคาร เป็นหมวดธุรกิจที่มีทั้งยอดขายและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก โดยยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 58% ของยอดขายรวมทั้งหมด และกำไรสุทธิของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 67% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด