บริษัทจดทะเบียน สร้างสถิติกำไรสูงสุดนับตั้งแต่จัดตั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทำกำไรงวดปี 2553 รวมสูงถึง 614,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.42% จากปีก่อน ส่วนยอดขายรวมแตะ 7,339,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.87% ขษณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยมี PTT, PTTEP, SCC, BANPU และ BBL เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 463 บริษัทหรือ 91.68% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 505 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 30 กองทุน) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมกำไรสุทธิ 614,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 463,908 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 32.42% และมียอดขายรวม 7,339,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.87%ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 165,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 41.86% และมียอดขายรวม 1,947,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดปี 2553 มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 413 บริษัท หรือ 86.40%
“ผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 2553 สร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดซื้อขาย สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของ บจ. ในทุกหมวดอุตสาหกรรม ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติการเงินโลก ปรากฎว่ากำไรสุทธิของ บจ. เติบโตมาโดยตลอด โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีหรือ Compound Annual Growth Rate: CAGR ปี 2551-2553 สูงถึง 40.61% และค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่าง 2544-2553 อยู่ที่ 17.14% ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจและศักยภาพของผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย” นายจรัมพรกล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิในปี 2553 รวม 521,213 ล้านบาท คิดเป็น 84.40% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 26.92% จากปีก่อน โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.14% และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 133.05% และมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง 1.08% ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 18.45% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 19.35% เป็น 18.45%
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. บ้านปู (BANPU) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ขณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริการ ในขณะที่หมวดอุตสาหกรรมที่มียอดกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้ง 5 หมวดอุตสาหกรรมมีกำไรสุทธิรวม 434,357 ล้านบาท คิดเป็น 70.71% ของกำไรรวมทั้งหมด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 463 บริษัทหรือ 91.68% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 505 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 30 กองทุน) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมกำไรสุทธิ 614,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 463,908 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 32.42% และมียอดขายรวม 7,339,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.87%ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 165,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 41.86% และมียอดขายรวม 1,947,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดปี 2553 มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 413 บริษัท หรือ 86.40%
“ผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 2553 สร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดซื้อขาย สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของ บจ. ในทุกหมวดอุตสาหกรรม ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติการเงินโลก ปรากฎว่ากำไรสุทธิของ บจ. เติบโตมาโดยตลอด โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีหรือ Compound Annual Growth Rate: CAGR ปี 2551-2553 สูงถึง 40.61% และค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่าง 2544-2553 อยู่ที่ 17.14% ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจและศักยภาพของผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย” นายจรัมพรกล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิในปี 2553 รวม 521,213 ล้านบาท คิดเป็น 84.40% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 26.92% จากปีก่อน โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.14% และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 133.05% และมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง 1.08% ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 18.45% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 19.35% เป็น 18.45%
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. บ้านปู (BANPU) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ขณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริการ ในขณะที่หมวดอุตสาหกรรมที่มียอดกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้ง 5 หมวดอุตสาหกรรมมีกำไรสุทธิรวม 434,357 ล้านบาท คิดเป็น 70.71% ของกำไรรวมทั้งหมด