ไม่เพียงแต่พรรคกระแสหลักเท่านั้นที่มีปัญหาในการจัดวางตัวผู้สมัครบัญชีรายชื่อ พรรคกระแสรองก็มีปัญหาไม่แพ้กัน
เพราะเมื่อปราศจากกฎขั้นต่ำ 5 เปอร์เซ็นต์ ความหวังของผู้สมัครในลำดับต้นๆของพรรคเล็กๆก็มีโอกาสเข้ามาเป็น ส.ส.ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองที่เป็นการฟาดฟันของ 2 ขั้วใหญ่ ที่ว่ากันว่าพรรคเล็กเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินว่า ใครจะเข้ามากุมอำนาจบริหารประเทศ ภายหลังวันที่ 3 ก.ค.
จึงเห็นได้ว่า มีพรรคใหม่ๆชื่อแปร่งหูเกิดขึ้นมากมาย และร่วมส่งผู้สมัครลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ถึงกว่า 30 พรรค โดยที่ส่วนใหญ่คาดหวังปักธง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ ที่คำนวณแล้วตก 2.5 แสนเสียงต่อ 1 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง เพราะมีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั่วประเทศมากกว่า 47 ล้านคนเลยทีเดียว
ไม่แปลกที่ พรรครักประเทศไทย ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค จะส่งเพียงผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ 10 คน โดยที่ไม่ส่งผู้สมัครในระบบเขตแม้แต่คนเดียว เพราะเชื่อว่าคะแนนที่ตุนอยู่ 3 แสนกว่าแต้ม ตั้งแต่สมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 2 หน จะเพียงพอส่งตัวเองเข้าไปเป็น ส.ส.อย่างน้อย 1 ที่นั่ง
เช่นเดียวกับ พรรครักษ์สันติ ที่หวังอาศัย “แฟนคลับ” ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรค หนุนส่งให้พรรคได้ ส.ส.บ้าง โดยที่ไม่ได้เน้น ส.ส.ในระบบแบ่งเขตมากนัก
หรืออย่างพวกที่ชื่อไม่คุ้นหู พรรคแทนคุณแผ่นดิน ที่อยู่ๆก็ปรากฎชื่อ นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเคยเป็น “ดาวเด่น” มีคนแย่งตัวกันให้ควั่ก มานั่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1
หลังจากที่เคยปรากฏชื่อหมอแวฯไปร่วมงานกับพรรคนั้นพรรคนี้ไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดมีข่าวว่าจะร่วมหัวจมท้ายกับ พรรคธรรมาภิบาลสังคม ที่มี ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ อดีต รมต.สำนักนายกฯ ยุค คมช.เป็นโต้โผใหญ่ แต่ก็เกิดอุบัติเหตุไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งอย่างกะทันหัน ทำให้ “หมอแว” ต้องหอบพลพรรค “สัจจานุภาพ” หารังซุกให้วุ่นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการสมัครไม่กี่วัน
กว่า “หมดแว”จะมาลงตัวที่พรรคนี้ก็มีอีกหลายพรรคเข้ามาติดต่อทาบทาม ทั้ง พรรคประชาสันติ ของ เสรี สุวรณภานนท์ หรือพรรคพลังมวลชน จนถึงขั้นต้องเปิด “เซฟเฮ้าส์” เพื่อ “ปิดดีล” กันเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายข้อเสนอของแต่ละพรรคก็ไม่ลงตัว เมื่อ “หมอแว” ยื่นคำขาดว่าจะต้องนั่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รวมทั้งขอจัดการให้สมาชิกกลุ่มสัจจานุภาพของตัวเองลงสมัครในบัญชีรายชื่อ และขอดูแลพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดด้วยตัวเอง
และที่สำคัญไม่ขอเกี่ยวข้องกับ “เสบียงกรัง” ส่วนกลาง
เรื่องของเรื่อง ก็เพราะชื่อชั้น นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ ถือว่ามีฐานเสียงที่ดีใน จ.นราธิวาส และมีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มีเหตุที่ “ หมอแว”ไม่สามารถลงสมัครส.ส.เขตเพื่อรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองได้ เนื่องจากถูกขอร้องอย่างหนักจาก พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หรือ “บิ๊กบัง”หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่เห็นว่าหาก “หมอแว”ซึ่งเป็นมุสลิมด้วยกันมาลงแข่งกันเองจะเป็นการตัดคะแนนในยุทธภูมิเป้าหมายของตน จึงพยายามเจรจาเกลี่ยกล่อมให้ “หมอแว” เข้าร่วมสร้างพรรคมาตุภูมิด้วยกัน
ด้วยเงื่อนไข ที่เบื้องหลังการเจรจาเผยว่า “บิ๊กบัง”ขอดึงเฉพาะตัว “หมอแว” คนเดียว โดยไม่สนใจทีมงานสัจจานุภาพ เป็นเหตุให้การคุยกันล้มไป เพราะ“หมอแว”ต้องการไปทั้งทีม
“หมอแว”จึงต้องตกอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ไม่มีพรรคไหนกล้ารับเข้าพวก
มีเพียงพรรคธรรมาภิบาลสังคมของนายธีรภัทรเท่านั้นที่เปิดประตูรับ แต่กลับติดปัญหาเรื่อง “ทุนรอน” ในการสู้ศึก จนต้องถอดใจเว้นวรรครอบนี้ไปก่อน
ส่วนพรรคประชาสันติ ก็ยังออกลูกยึกยักไม่มีความพร้อมในการทำศึก หลัง ร.ต.อ.ปุระชัย ไม่มาตามนัด จนเกิดเป็น “ตลกร้าย” สำหรับพรรคที่มีนักกฎหมายชั้นอ๋องระดับอดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั่งเป็นหัวหน้าพรรค แต่กลับไปยื่นสมัครเลือกตั้ง โดยที่เอกสารไม่ครบ จนมองกันว่าเป็นเพียง “แอคชั่น” ที่หวังแก้เกี้ยวว่าพร้อมลงสู้ศึก
แต่ในความเป็นจริงขาดปัจจัยทั้ง “ทุน-บุคคล” อย่างรุนแรง
เส้นทางของ “หมอแว” จึงมาลงตัวที่พรรคแทนคุณแผ่นดินอย่างพลิกโผ โดยที่หัวหน้าพรรค วิชัย ศิรินคร ของพ่วงอยู่ในลำดับที่ 2 เท่านั้น
เผื่อมีคะแนนเหลือส่งตัวเองเข้าสภาไปได้อีกคน
เพราะเมื่อปราศจากกฎขั้นต่ำ 5 เปอร์เซ็นต์ ความหวังของผู้สมัครในลำดับต้นๆของพรรคเล็กๆก็มีโอกาสเข้ามาเป็น ส.ส.ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองที่เป็นการฟาดฟันของ 2 ขั้วใหญ่ ที่ว่ากันว่าพรรคเล็กเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินว่า ใครจะเข้ามากุมอำนาจบริหารประเทศ ภายหลังวันที่ 3 ก.ค.
จึงเห็นได้ว่า มีพรรคใหม่ๆชื่อแปร่งหูเกิดขึ้นมากมาย และร่วมส่งผู้สมัครลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ถึงกว่า 30 พรรค โดยที่ส่วนใหญ่คาดหวังปักธง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ ที่คำนวณแล้วตก 2.5 แสนเสียงต่อ 1 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง เพราะมีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั่วประเทศมากกว่า 47 ล้านคนเลยทีเดียว
ไม่แปลกที่ พรรครักประเทศไทย ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค จะส่งเพียงผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ 10 คน โดยที่ไม่ส่งผู้สมัครในระบบเขตแม้แต่คนเดียว เพราะเชื่อว่าคะแนนที่ตุนอยู่ 3 แสนกว่าแต้ม ตั้งแต่สมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 2 หน จะเพียงพอส่งตัวเองเข้าไปเป็น ส.ส.อย่างน้อย 1 ที่นั่ง
เช่นเดียวกับ พรรครักษ์สันติ ที่หวังอาศัย “แฟนคลับ” ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรค หนุนส่งให้พรรคได้ ส.ส.บ้าง โดยที่ไม่ได้เน้น ส.ส.ในระบบแบ่งเขตมากนัก
หรืออย่างพวกที่ชื่อไม่คุ้นหู พรรคแทนคุณแผ่นดิน ที่อยู่ๆก็ปรากฎชื่อ นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเคยเป็น “ดาวเด่น” มีคนแย่งตัวกันให้ควั่ก มานั่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1
หลังจากที่เคยปรากฏชื่อหมอแวฯไปร่วมงานกับพรรคนั้นพรรคนี้ไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดมีข่าวว่าจะร่วมหัวจมท้ายกับ พรรคธรรมาภิบาลสังคม ที่มี ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ อดีต รมต.สำนักนายกฯ ยุค คมช.เป็นโต้โผใหญ่ แต่ก็เกิดอุบัติเหตุไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งอย่างกะทันหัน ทำให้ “หมอแว” ต้องหอบพลพรรค “สัจจานุภาพ” หารังซุกให้วุ่นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการสมัครไม่กี่วัน
กว่า “หมดแว”จะมาลงตัวที่พรรคนี้ก็มีอีกหลายพรรคเข้ามาติดต่อทาบทาม ทั้ง พรรคประชาสันติ ของ เสรี สุวรณภานนท์ หรือพรรคพลังมวลชน จนถึงขั้นต้องเปิด “เซฟเฮ้าส์” เพื่อ “ปิดดีล” กันเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายข้อเสนอของแต่ละพรรคก็ไม่ลงตัว เมื่อ “หมอแว” ยื่นคำขาดว่าจะต้องนั่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รวมทั้งขอจัดการให้สมาชิกกลุ่มสัจจานุภาพของตัวเองลงสมัครในบัญชีรายชื่อ และขอดูแลพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดด้วยตัวเอง
และที่สำคัญไม่ขอเกี่ยวข้องกับ “เสบียงกรัง” ส่วนกลาง
เรื่องของเรื่อง ก็เพราะชื่อชั้น นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ ถือว่ามีฐานเสียงที่ดีใน จ.นราธิวาส และมีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มีเหตุที่ “ หมอแว”ไม่สามารถลงสมัครส.ส.เขตเพื่อรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองได้ เนื่องจากถูกขอร้องอย่างหนักจาก พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หรือ “บิ๊กบัง”หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่เห็นว่าหาก “หมอแว”ซึ่งเป็นมุสลิมด้วยกันมาลงแข่งกันเองจะเป็นการตัดคะแนนในยุทธภูมิเป้าหมายของตน จึงพยายามเจรจาเกลี่ยกล่อมให้ “หมอแว” เข้าร่วมสร้างพรรคมาตุภูมิด้วยกัน
ด้วยเงื่อนไข ที่เบื้องหลังการเจรจาเผยว่า “บิ๊กบัง”ขอดึงเฉพาะตัว “หมอแว” คนเดียว โดยไม่สนใจทีมงานสัจจานุภาพ เป็นเหตุให้การคุยกันล้มไป เพราะ“หมอแว”ต้องการไปทั้งทีม
“หมอแว”จึงต้องตกอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ไม่มีพรรคไหนกล้ารับเข้าพวก
มีเพียงพรรคธรรมาภิบาลสังคมของนายธีรภัทรเท่านั้นที่เปิดประตูรับ แต่กลับติดปัญหาเรื่อง “ทุนรอน” ในการสู้ศึก จนต้องถอดใจเว้นวรรครอบนี้ไปก่อน
ส่วนพรรคประชาสันติ ก็ยังออกลูกยึกยักไม่มีความพร้อมในการทำศึก หลัง ร.ต.อ.ปุระชัย ไม่มาตามนัด จนเกิดเป็น “ตลกร้าย” สำหรับพรรคที่มีนักกฎหมายชั้นอ๋องระดับอดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั่งเป็นหัวหน้าพรรค แต่กลับไปยื่นสมัครเลือกตั้ง โดยที่เอกสารไม่ครบ จนมองกันว่าเป็นเพียง “แอคชั่น” ที่หวังแก้เกี้ยวว่าพร้อมลงสู้ศึก
แต่ในความเป็นจริงขาดปัจจัยทั้ง “ทุน-บุคคล” อย่างรุนแรง
เส้นทางของ “หมอแว” จึงมาลงตัวที่พรรคแทนคุณแผ่นดินอย่างพลิกโผ โดยที่หัวหน้าพรรค วิชัย ศิรินคร ของพ่วงอยู่ในลำดับที่ 2 เท่านั้น
เผื่อมีคะแนนเหลือส่งตัวเองเข้าสภาไปได้อีกคน
