ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ว่า ปัญหาการชะลอตัวในภาคการผลิต จากผลกระทบของเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น อาจจะกดดันให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าก่อนที่จะเริ่มดีขึ้นในเดือนมิถุนายน และเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ยังมีแรงกดดันจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัว อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังมีปัจจัยบวกจากกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งน่าจะเป็นแรงกระตุ้นธุรกิจบางประเภท เช่น สื่อโฆษณา สิ่งพิมพ์ ค้าปลีก เครื่องดื่ม และรถยนต์ ให้มีความคึกคักขึ้น
โดยคาดว่าผลของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งน่าจะมีส่วนช่วยให้มูลค่าจีดีพีในไตรมาสที่ 2 เติบโตสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.9-1.4 เทียบกับสถานการณ์ปกติที่ไม่มีการเลือกตั้ง โดยรวมแล้ว คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 อาจมีระดับทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจีดีพีอาจขยายตัวได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ประมาณร้อยละ 3
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับซัพพลายเชนในญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ น่าจะเริ่มคลี่คลายลง และการผลิตน่าจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติได้เร็วกว่าที่คาด แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่อีกหลายด้าน อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและการคืบหน้าในการผลักดันนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล รวมถึงความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555
นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังเป็นขาขึ้น โดยแม้ระยะสั้นอาจได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันในระยะข้างหน้ามีโอกาสดีดตัวกลับมาสูงขึ้น และทิศทางเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยในภูมิภาคต่างๆ จะมีผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และย่อมมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยภาพรวมในปี 2554
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อยู่ที่ร้อยละ 3.6 (กรอบคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0-4.0) ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยประมาณ 108 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.0
โดยคาดว่าผลของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งน่าจะมีส่วนช่วยให้มูลค่าจีดีพีในไตรมาสที่ 2 เติบโตสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.9-1.4 เทียบกับสถานการณ์ปกติที่ไม่มีการเลือกตั้ง โดยรวมแล้ว คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 อาจมีระดับทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจีดีพีอาจขยายตัวได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ประมาณร้อยละ 3
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวโยงกับซัพพลายเชนในญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ น่าจะเริ่มคลี่คลายลง และการผลิตน่าจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติได้เร็วกว่าที่คาด แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่อีกหลายด้าน อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและการคืบหน้าในการผลักดันนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล รวมถึงความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555
นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังเป็นขาขึ้น โดยแม้ระยะสั้นอาจได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันในระยะข้างหน้ามีโอกาสดีดตัวกลับมาสูงขึ้น และทิศทางเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่พุ่งสูง รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยในภูมิภาคต่างๆ จะมีผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และย่อมมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยภาพรวมในปี 2554
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อยู่ที่ร้อยละ 3.6 (กรอบคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0-4.0) ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยประมาณ 108 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.0
