xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นายกฯ'อภิสิทธิ์' กับ 2 ปีรัฐบาล และ 7 ผลงานอัปยศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เสียงปี่กลองของการต่อสู้ทางการเมืองได้ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ว่ากันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคที่เบียดคู่สูสีเป็นว่าที่แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมากที่สุดเห็นจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากพรรคเก่าแก่อย่าง 'ประชาธิปัตย์' และพรรคตระกูลชิน ที่ใช้ชื่อว่า 'เพื่อไทย'

ข้างฝ่ายประชาธิปัตย์ที่มี ''อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' พ่อรูปหล่อขวัญใจแม่ยกเป็นหัวหน้าพรรคนั้นงัดแผนประกาศจับประเทศชาติเป็นตัวประกัน ด้วยการตอกย้ำความเชื่อที่ว่า 'ไม่เลือกเรา เขามาแน่' ขณะที่เพื่อไทยที่เพิ่งสถาปนาน้องสาวสุดที่รักของนายใหญ่ทักษิณ นาม 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ให้ขึ้นนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็ประกาศแคมเปญโดนใจ 'แก้ไข ไม่แก้แค้น' หวังแก้ภาพลักษณ์ของพรรคเสื้อแดงซึ่งความรุนแรงที่เคยใช้กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกตี

และทันทีที่เพื่อไทยประกาศชื่อหัวหน้าพรรคคนใหม่ ประชาธิปัตย์ก็ไม่รอช้าท้าเพื่อไทยจัด 'ดีเบต' ระหว่าง 'อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์' เพื่อโชว์วิสัยทัศน์และนโยบาย ด้วยหวังใช้ 'คารมคมหอก' ของอภิสิทธิ์ ตีกระหน่ำยิ่งลักษณ์ที่แม้จะทรงอิทธิพลในเพื่อไทยแต่ในสนามการเมืองนั้นชั้นเชิงยังห่างไกลกันหลายขุม

สำหรับยิ่งลักษณ์ฝีมือในการบริหารจะเป็นอย่างไร จะซ้ำรอยพี่ชายที่โกงกินมโหฬารหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่ฝ่ายอภิสิทธิ์นั้นมีผลงานในฐานะผู้นำรัฐบาลตำตาตำใจให้เห็นกันอยู่ และนี่คือผลงานของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ประชาชนตาดำๆ ต้องจำกันไปจนวันตาย

1.ข้าวยากหมากแพง

กล่าวได้ว่า 'ผลงานชิ้น'โบดำ' ที่ทำให้ประชาชนคนไทยสยองขวัญกับการบริหารงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือการบริหารงานด้านเศรษฐกิจที่พ่นพิษจนเกิดข้าวยากหมากแพงกันไปทั่วทุกหัวระแหง ทั้งราคาหมู ราคาไข่ ราคาน้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกรายการพากันปรับตัวสูงขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาชนชั้นกลางไปจนถึงคนยากคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเดือดร้อนกันไปหมด ที่เคยอิ่มก็เริ่มอด ไอ้ที่อดอยู่แล้วก็ต้องอดอยากยากเข็ญยิ่งกว่าเดิม แม้ล่าสุดรัฐบาลจะประกาศเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการอีก 5% และปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำอีกวันละ 7-18 บาท แต่ก็ตามไม่ทันราคาสินค้าที่ถาโถมขึ้นราคาอย่างบ้าระห่ำ แต่ที่ทั้งเจ็บทั้งฮาก็คือวิธีการแก้ปัญหาที่อ่อนด้อยทางปัญหาของรัฐบาล อย่างเช่นการแก้ปัญหาไข่แพง ด้วยการประกาศนโยบายเอาไข่ไป 'ชั่งกิโล' ที่หลายคนสงสัยว่ามันจะทำให้ราคาไข่ลดลงได้อย่างไรตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต ทั้งเรื่องพันธุ์ไก่และราคาอาหารสัตว์ที่ถูกผูกขาดโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศ

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของคณะทำงานปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “ความสุข การใช้จ่าย และการบริโภคของคนไทย ปี 2554" พบว่า ปัจจุบันประชาชนมีความกังวลต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคประจำวัน ซึ่งภาวะสินค้าราคาแพงนั้นทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของคนไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้จากคะแนนเต็ม 10 พบว่า คนไทยมีความกังวลต่อค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคประจำวันมากที่สุด คิดเป็น 5.61 คะแนน รองลงมาเป็นค่าผ่อนยานพาหนะ/รถยนต์/ของใช้ภายในบ้าน 5.43 คะแนน การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง/ไฟฟ้า/ค่าสาธารณูปโภค 5.38 คะแนน ค่าผ่อนซื้อที่อยู่อาศัย/ค่าเช่าที่อยู่อาศัย 5.28 คะแนน

แน่นอนว่า ปัญหาของแพงที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นั้นส่งผลให้คะแนนนิยมของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ 'ดิ่งเหว' ชนิดกู่ไม่กลับ

2.ทุจริตน้ำมันปาล์ม

หนึ่งในสินค้าที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่าไม่เคยปรากฏมาก่อนก็คือ 'น้ำมันปาล์ม' ที่ราคาพุ่งพรวดจากขวดละ 38 บาท ขึ้นไปถึงขวดละ 70บาท อีกทั้งยังขาดตลาดหายากยิ่งกว่าทองคำ จนเกิดปรากฎการณ์ 'มีเงินซื้อ แต่ไม่มีน้ำมันขาย' ทำเอาประชาชนชนและพ่อค้าแม่ขายเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทั้งที่ประเทศไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ 2 ของโลก และที่เจ็บปวดที่สุดก็คือปัญหาราคาน้ำมันปาล์มที่แพงลิบลิ่วและขาดหายไปจากตลาดโดยเกิดจากกลไกตลาดที่ถูกบิดเบือนนั้นเราๆ ท่านๆ ต่างก็รู้กันดีว่าล้วนมาจากน้ำมือของนักการเมืองในรัฐบาลที่พัวพันกับธุรกิจน้ำมันปาล์มนั่นเอง จึงเกิดเป็นปฏิบัติการ 'กักตุน ปั่นราคา ฟันกำไร' จนทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ

นอกจากนั้นปัญหานี้ยังถูกปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานถึง 4 เดือน แถบจะไม่ขยับเขยื้อนทำอะไร วิธีแก้ปัญหาก็เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เช่น ประกาศควบคุมราคาแต่ไม่มีสินค้าในตลาด , ออกน้ำมันปาล์มธงฟ้าที่คุมราคาไว้ที่ขวดละ 47 บาท แต่ปริมาณที่วางขายก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ขณะที่จุดวางจำหน่ายก็กระจายไม่ทั่วถึง , สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษลงไปตรวจสอบการกักตุนน้ำมันของโรงงานผู้ผลิต แต่กลับไม่จัดการกับนักการเมืองที่อยู่ 'เบื้องหลัง' ซึ่งเป็นคนกักตุนและปั่นราคา น้ำมันปาล์ม

จุดที่น่าสงสัย คือก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2553มีการปล่อยสต็อกน้ำมันปาล์มสำรองให้ปริมาณต่ำกว่าที่ควรจะมีน้ำมันปาล์มสำรองในประเทศ 2 แสนตัน ทั้งยังก้มหน้าก้มตาส่งออก นำไปใช้ผลิตไบโอดีเซล โดยไม่มีการวางแผนนำน้ำมันปาล์มมาทดแทน จนในที่สุดก็หมดสต็อกในเดือนธันวาคม เมื่อน้ำมันปาล์มในประเทศขาดแคลน แต่ไม่รีบนำเข้า จนเกิดกระบวนการปั่นราคา ครั้นพอเมื่อราคาขึ้นไประยะหนึ่ง รัฐบาลจึงค่อยสั่งนำเข้า ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใครหรือไม่ นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ยังมีผู้ผลิตบางรายเล่นแร่แปรธาตุส่งออกน้ำมันปาล์มไปเก็บไว้ที่สิงคโปร์ และเพิ่งนำกลับเข้ามาในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านได้มีการออกมาปูดสารพัดชื่อย่อว่ามีเอี่ยวกับขบวนการปั่นราคาน้ำมันปาล์ม โดยระบุว่าอักษรย่อ “พ” “ส” “อ” และ “อ” ล้วนแต่เป็นนักการเมืองในรัฐบาลชุดนี้ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ที่เป็นแหล่งผลิตปาล์มสำคัญ คือ กระบี่ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่ต้องเฉลยทุกคนก็รู้ว่าเป็นพื้นที่ของใคร

ความผิดปกติที่ชี้ชัดว่าน้ำมันปาล์มไม่ได้ขาดตลาดจริงก็คือ ทันทีที่รัฐบาลประกาศทุ่มงบ 200 ล้าน จ่ายชดเชยส่วนต่างให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นน้ำปาล์มบรรจุขวดกลับมีวางขายกันพรึ่บ ซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างค้าปลีกทุกห้างต่างมีน้ำมันปาล์มวางกันเต็มเชลล์ ทำให้ประชาชนพากันงวยงงว่าถ้าไม่มีน้ำมันปาล์มในสต็อกจริงแล้วอยู่ๆไป 'เสก' น้ำมันเหล่านี้มาจากไหน

แม้ระหว่างที่มีปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดจะเกิดภาพความขัดแย้งในการแก้ไขปัญหาระหว่าง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จากภูมิใจไทย กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ จากประชาธิปัตย์ ซึ่งต่างก็โยนกลองกันไปมาและขัดแข้งขัดขากันตลอด แต่ลึกๆ แล้ววงในกลับเมาท์กันว่าทั้งพรรคแกนนำที่ทำหน้าที่บริหารจัดการตั้งแต่ต้นทาง เรื่อยมาจนปลายทาง พรรคพวกเครือข่ายล้วนแบ่งสรรประโยชน์ ตามขั้นตอนแบบของใครของมัน แต่ก็ไม่ลืมหารเปอร์เซ็นต์ให้กับอีกพรรคด้วยเช่นกัน

3. โครงการฉาว...รถเมล์เช่า NGV

ผลงานฉาวลำดับถัดไป คือโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช (พ.ศ. 2550 - 2551)โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 6,000 คัน กำหนดระยะเวลาเช่า 10 ปี มีมูลค่าโครงการกว่า 100,000 ล้านบาท มาใช้ในการให้บริการรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เพื่อทดแทนรถเมล์ของ ขสมก. ที่ใช้มาเป็นเวลานาน

ในครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ชอบมาพากล ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน พร้อมทั้งชี้ว่ารัฐมนตรีที่ดำเนินโครงการมีผลประโยชน์ใต้โต๊ะ และหากอนุมัติไปก็จะส่งผลให้กระทรวงคมนาคมเสียหายจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ดี โครงการนี้ยังไม่ทันได้ดำเนินการประกวดราคา ก็ต้องระงับไป และถูกถอนเรื่องออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเนื่องจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากสังคม สื่อมวลชน และพรรคฝ่ายค้าน

แต่เมื่อเกิดการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างถึงยุคที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีนายโสภณ ซารัมย์ จากพรรคภูมิใจไทย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นอกจากจะไม่ยกเลิกโครงการเจ้าปัญหาดังกล่าวแล้ว รัฐบาลชุดนี้กลับตัดสินใจว่าจำเป็นต้องการดำเนินโครงการนี้ต่อไป และได้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ครม. ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากในสมัยรัฐบาลนายสมัครเป็นการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 4,000 คัน (จากเดิม 3,000 คัน) ใช้เงินงบประมาณ 63,000 ล้านบาท (จากเดิม 100,000 ล้านบาท) แต่เนื่องจากถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า... ค่าเช่าแพงเกินไปหรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่? ทำให้ต้องชะลอโครงการไว้กลางทาง โดยผ่านมาเกือบ 2 ปี จนถึงขณะนี้โครงการก็ยังอยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขตงานของโครงการเพื่อดำเนินการในการประกวดราคาต่อไป

4. บัตรสมาร์ทการ์ด...ชาตินี้คงได้ใช้

ปัญหาการออกบัตรประชาชนแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัตรสมาร์ทการ์ด ซึ่งล่าช้ามากว่า 3 ปี และยืดเยื้อมาหลายรัฐบาล เมื่อมาถึงรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธ์ก็เกิดปัญหาเช่นกัน แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคที่ทำให้กระทรวงมหาดไทยไม่สามารถออกบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดได้ และทำให้ประเทศไทยเป็นชาติเดียวในโลกที่ประชาชนหลายล้านคนไม่มีบัตรประชาชนใช้ และจำต้องถือกระดาษที่เรียกว่า 'บัตรเหลือง' แทนบัตรประชาชนมานานนับปี แต่ต้นเหตุของปัญหาคือความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีว่าการมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย กับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือกระทรวงไอซีที จากพรรคเพื่อแผ่นดิน

แม้ล่าสุด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยจะประกาศให้ประชาชนที่ถือบัตรเหลืองทยอยเดินทางไปทำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดได้ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.2554 ที่ผ่านมา แต่ก็จำกัดจำนวนอยู่ที่ 3 แสนใบเท่านั้น และที่รีบนำบัตรสมาร์ทการ์ดออกมาให้ใช้ก็ไม่ใช่เพราะเล็งเห็นประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะผลพวงเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค.2554 ที่จะถึงนี้ ซึ่งประชาชนจำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชนก่อนลงคะแนนเลือกตั้ง

หากย้อนไปช่วงก่อนที่นายจุติ ไกรฤกษ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เพื่อสงบศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งนั่งกินตำแหน่ง รมว.ไอซีที และนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย นั้นเกิดจากการที่นายชวรัตน์ไม่พอใจที่นางระนองรักษ์ดองกรอบทีโออาร์ประมูลเช่าคอมพิว เตอร์ วงเงินเกือบ 3.5 พันล้านบาท ที่กระทรวงมหาดไทยจัดทำ โดยไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการจัดหา ทำให้นายชวรัตน์ 'เอาคืน' ด้วยการสั่งให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่นำบัตรสมาร์ทการ์ดไปใช้ มีความเห็นไม่ตรวจรับสมาร์ทการ์ดที่จัดทำโดยกระทรวงไอซีที โดยอ้างเหตุผลว่า 'ผิดสเปก'

โดยกรมการปกครองทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงไอซีที มารับคืนบัตรสมาร์ทการ์ด 6 แสนใบ ที่ฝากไว้ ณ สำนักบริหารการทะเบียน เนื่องจากตรวจพบว่าบัตรดังกล่าวมีรูปแบบ สี ลักษณะ และรายละเอียดของบัตรไม่เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 22 (พ.ศ.2550) ชัดเจน เพราะ 1.รูปแบบบัตรนั้นมีเส้นสีแดง (MICROTEXT) พาดผ่านตำแหน่งพิมพ์รูปภาพด้านหน้าบัตร ซึ่งไม่เป็นไปตามลักษณะแบบบัตรที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบอเนกประสงค์ตามท้ายกฎกระ ทรวงหลายฉบับที่กำหนดให้บัตรมีสีขาวลายพื้นสีฟ้า และ 2.สัญลักษณ์ด้านหลังบัตรซึ่งเป็นจุดตรวจสอบบัตร ภาพแรกที่ปรากฏบน HOLOGRAM ไม่ใช่รูปแผนที่ประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นไปตามลักษณะบัตรตามท้ายกฎกระทรวง และขอให้ไอซีทีนำกลับไปแก้ไขขณะที่ไอซีที ระบุว่า เส้นสีแดงเป็นเรื่องความปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลง และก่อนหน้านี้ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครองคนเก่า ได้ทดสอบบัตรและเซ็นรับรองแล้ว

เรื่องร้อนถึงขั้นนายกฯอภิสิทธิ์ ต้องสั่งให้ 2 ฝ่ายเร่งทำความตกลงเพื่อเร่งออกบัตร แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจเลือกภูมิใจไทย เมื่อพรรคเพื่อแผ่นดิน 'เอาคืน' พรรคภูมิใจไทย ด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจ 2 รัฐมนตรีของภูมิใจไทย คือ นายชวรัตน์ รมว.มหาดไทย และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการมติเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2553 ส่งผลให้แกนนำของพรรคภูมิใจไทยแสดงความไม่พอใจ และเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ปรับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

จากแรงกดดันดังกล่าวทำให้นายอภิสิทธิ์จำต้องเลือกยืนข้างภูมิใจไทยของ 'นายเนวิน ชิดชอบ' ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางและมีสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับกองทัพ ด้วยการปรับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และส่งนายจุติ ไกรฤกษ์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที รับหน้าที่แก้ปัญหาบัตรสมาร์ทมาจนถึงปัจจุบัน

5.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง

อีกหนึ่งผลงานฉาวที่ไม่คิดว่านายารัฐมนตรีดีกรีออกซฟอร์ดที่ชื่อ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' จะกล้าทำ ก็คือการ 'ขึ้นเงินเดือนตัวเอง' โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ได้มีมติให้มีการปรับขึ้นเงินเดือน ส.ส.และ ส.ว. 14.3-14.7% ซึ่งแม้นายอภิสิทธิ์จะเถียงหัวชนฝาว่าไม่ได้เป็นการขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง เพราะมติ ครม.ดังกล่าวไม่ได้ให้ปรับขึ้นเงินเดือนให้ ส.ส.ที่ทำงานอยู่ในสภาขณะนี้ แต่จะมีผลหลังเลือกตั้งสมัยหน้า แต่แม้กระทั่งเด็ก ป.4 ก็รู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ส.อีกไม่น้อยที่นั่งหน้าสลอนเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ก็ต้องได้รับเลือกตั้งให้กลับเข้ามาทำงานในสภา โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นปาร์ตีลิสต์อันดับ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์

ที่สำคัญการขึ้นเงินเดือน ส.ส.-ส.ว.ครั้งนี้ ไม่ได้มีใครมาเรียกร้องกดดันใดๆทั้งสิ้น แต่เกิดจากการผลักดันของนายอภิสิทธิ์ ชนิดที่เรียกว่า 'ชงเอง กินเอง' เลยทีเดียว แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม 40 ส.ว. , กลุ่มคัดค้านการขึ้นเงินเดือน ส.ส.และ ส.ว. ที่มี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำ หรือแม้แต่โพลที่สำรวจความคิดเห็นของคนใต้ ที่ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนดังกล่าว แต่นายกฯอภิสิทธิ์ก็ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย

สำหรับตัวเลขอัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นนั้น สรุปได้ ดังนี้ • ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพิ่มขึ้นจาก 121,990 บาท เป็น 125,590 บาท (เพิ่มขึ้น 3,600 บาท) • ประธานรัฐสภาจาก 115,920 บาท เป็น 125,590 บาท (เพิ่มขึ้น 9,670 บาท) • ประธานวุฒิสภา 110,390 บาท เป็น 119,920 บาท (เพิ่มขึ้น 9,530 บาท) • ผู้นำฝ่ายค้าน 106,360 บาท เป็น 115,740 บาท (เพิ่มขึ้น 9,380 บาท) • ส.ส. และ ส.ว. 104,330 บาท เป็น 113,560 บาท (เพิ่มขึ้น 9,230 บาท)

นอกจากนั้นมติ ครม.ดังกล่าวยังได้ประกาศให้ขึ้นเงินเดือนแก่ปลัดกระทรวง และขึ้นเบี้ยประชุมกรรมาธิการในสภาด้วย โดยปลัดกระทรวง ได้ปรับขึ้นจาก108,480 บาท เป็น 111,810 บาท (เพิ่มขึ้น 3,330 บาท) ส่วนการขึ้นเบี้ยประชุมให้คณะกรรมาธิการนั้น ประธานกรรมาธิการได้ 1,500 บาท , กรรมาธิการได้ 1,200 บาท ส่วนอนุกรรมาธิการ 800 บาท โดยทุกตำแหน่ง ยกเว้น ส.ส. ให้มีผลตั้งแต่ เดือนเมษายน 2554 ส่วน ส.ส.ให้มีผลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

6. ลอกนโยบายประชานิยม

แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเคยตำหนิติติงนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นไทยรักไทย แต่มาถึงวันนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ด้วยการประกาศนโยบายประนิยม ภายใต้ชื่อที่สวยหรูว่า “ประชาวิวัฒน์” คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นวิธีที่พรรคเพื่อไทยเคยใช้ได้ผลและสามารถเรียกคะแนนนิยมให้พรรคได้อย่างถล่มทลาย ประชาธิปัตย์จึงต้องหยิบกลยุทธ์เดียวกันนี้มาใช้เพื่อเรียกคะแนนให้กับพรรคในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้

นโยบายประชาภิวัฒน์ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศออกมาเป็นวาระเร่งด่วน เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 นั้น ประกอบด้วยนโยบาย 5 ด้านหลัก ดังนี้ 1. การกระจายที่ดินทำกินและโฉนดชุมชน , การเพิ่มจุดผ่อนผันให้ผู้ค้าจำนวน 20,000 ราย มีพื้นที่ค้าขาย 2. การลดภาระค่าครองชีพของคนที่มีรายได้น้อย โดยให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับคนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วย แก้ปัญหากองทุนน้ำมัน ด้วยการยกเลิกการตรึงราคา LPG ในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังตรึงราคาภาคครัวเรือนและขนส่ง

3. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ เช่น ให้คนขับรถแท็กซี่ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ขึ้นทะเบียนและจัดระบบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการ 4. การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และ 5. การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ โดยให้ประชาชนที่อยู่นอกระบบสามารถทำประกันสังคม โดยสมทบเงิน 100 ต่อเดือน เข้าระบบประกันสังคม , ตั้งเป้าลดปัญหาอาชญากรรมได้ร้อยละ 20 ภายใน 6 เดือน ซึ่งนโยบายหลายอย่างถูกวิจารณ์ว่าเป็นการลอกนโยบายของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งยังเป็นการนำเงินภาษีประชาชนมาหาเสียง โดยไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น การให้ประชาชนที่ใช้ไฟน้อยใช้ไฟฟรี แต่กลับไม่แก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น

7.ยกแผ่นดินไทยให้เขมร

สำหรับผลงานที่สร้างความเจ็บปวดใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศก็คือ ความพยายามในการ 'ยกแผ่นดินไทยให้เขมร' โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง MOU43 (บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก) ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยลงนามเอาไว้กับกัมพูชา ขณะที่มีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร ในสมัยที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลกัมพูชา ที่มีสมเด็จฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรี จะละเมิดข้อตกด้วยการให้ทหารและประชาชนเข้ามาบุกรุกยึดครองพื้นที่ของประเทศไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ 4.6 กิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร แม้ MOU43 จะห้ามไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน , ให้กองทัพกัมพูชาถล่มยิงเข้ามาในประเทศไทย หรือแสดงความเห็นโจมตีให้ร้ายประเทศไทยอย่างไร แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ก็ยังยืนยันที่จะ 'เจรจา' กับกัมพูชา อยู่ท่าเดียว โดยอ้างว่าต้องปฏิบัติตามข้อตกลงใน MOU43 ทั้งๆ ที่หลายครั้งหลายครากัมพูชาประกาศชัดว่าจะไม่มีการเจรจากับไทย และรัฐบาลไทยต้องยอมยกแผ่นดินที่สมเด็จฮุน เซนอ้างว่าเป็นของเขมรให้แก่กัมพูชาเท่านั้น

อีกทั้งรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศของไทยยังยอมเป็นลูกไล่เดินตามเกมกัมพูชาอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลโลก เพื่อให้ตีความคำพิพากษาคดีพระวิหาร เมื่อปี 2505ซึ่งนักวิชาการหลายท่านออกมาท้วงติงว่าการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกในครั้งนี้จะนำไปสู่การเสียดินแดนไทยจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอีกกว่า 2 ล้านไร่ เนื่องจากกัมพูชาอ้างอิงถึงการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจะทำให้แผนที่กัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตไทยมีผลบังคับใช้ แต่นายกฯอภิสิทธิ์ก็ไม่สนใจ แทนที่รัฐบาลไทยจะคัดค้านการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลโลก นายอภิสิทธิ์กลับจงใจเดินเข้าไปสู่กับดัก โดยเตรียมทีมสู้คดี หนำซ้ำยังจะแต่งตั้งทนายสัญชาติฝรั่งเศสมาช่วยว่าความให้ฝ่ายไทย ทั้งที่รู้ดีว่าฝรั่งเศสคือประเทศมหาอำนาจที่เขามายึดประสาทพระวิหารซึ่งเป็นของไทยไปให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศอาณานิคม ดังนั้นแนวโน้มที่ไทยจะพ่ายแพ้ต่อกัมพูชาในครั้งนี้จึงมีให้เห็นอยู่เต็มประตู

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ' ผลงานอัปยศ ' ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า หลังสิ้นสุดการบริหารงานตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาจะมีโอกาสได้กลับมาสร้างความเจ็บช้ำให้แก่คนไทยอีกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้อง 'ตัดสินใจ'
กำลังโหลดความคิดเห็น