xs
xsm
sm
md
lg

ต่างชาติแห่ซื้อหุ้นทะลุ1.1พัน“กรณ์”โยนกลต.สอบอินไซด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทยฝ่าแนวต้านสำคัญ ยืนเหนือระดับ 1,100 จุด โดยมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีกกว่า 2.3 พันล้านบาท ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุมูลค่าซื้อขายหุ้นช่วงเลือกตั้งเพิ่มขึ้น 10-20% ของค่าเฉลี่ยทั้งปี เหตุข่าวเลือกตั้ง-เศรษฐกิจโต -บจ.กำไรเติบโต - เงินปันผลตลาดหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาค แต่อาจเป็นเงินลงทุนระยะสั้น หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ด้าน “กรณ์” เผยก่อนเลือกตั้งอาจมีการปั่นหุ้นได้ ย้ำเป็นหน้าที่ ก.ล.ต. ที่ต้องตรวจสอบใกล้ชิด

บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (11 พ.ค.) เป็นไปอย่างคึกคัก มีปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นยืนอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน และดัชนีตลาดหุ้นยังคงแตะระดับ 1,100 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญหลายรอบ โดยมีราคาต่ำสุดที่ 1,091.19 จุด สูงสุด 1,102.44 จุด ก่อนจะปิดที่ 1,100.48 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 14.92 จุด หรือคิดเป็น 1.37% มูลค่าการซื้อขายรวม 46,588.75 ล้านบาท

โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดซื้อสุทธิเข้ามาต่อเนื่องถึง 2,351.23 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3,849.89 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 61.22 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 6,139.90 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ราคาปิด 31.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 3.28% มูลค่าการซื้อขาย 2,458.39 ล้านบาท บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT นสตสปิด 368 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 1.94% มูลค่าการซื้อขาย 2,253.70 ล้านบาท และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL นสตสปิด 169 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 1.20% มูลค่าการซื้อขาย 1,675.55 ล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ (11 พ.ค.) มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ และพื้นฐานดี จากการที่นักลงทุนคาดหวังผลประกอบการไตรมาส 1/54 โดยเฉพาะบมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ที่มีมูลค่าการซื้อขายเข้ามาจำนวนมาก เพราะ CPF มีกำไรสุทธิออกมาค่อนข้างดี ขณะเดียวกันยังมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 1,100 จุด ขณะเดียวกันได้มีแรงขายทำกำไรออกมา ณ ระดับดังกล่าว กดดันให้ดัชนีไม่สามารถปรับตัวเพิ่มได้มากกว่านี้

ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (12 พ.ค.) คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะไม่ปรับตัวมากนัก แต่ยังคงเป็นทิศทางที่เพิ่มขึ้น โดยกรอบแนวต้านสำคัญอยู่ที่ประมาณ 1,110 จุด และแนวรับที่ 1,095 จุด

ช่วงเลือกตั้งวอลุ่มเทรดพุ่ง10-20%

นางเทียนทิพ สุพานิช ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงของการเลือกตั้ง ว่า จากสถิติการเลือกตั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา พบในช่วงก่อนยุบสภา และระหว่างยุบสภาจนถึงการเลือกตั้ง มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของมูลค่าการซื้อขายทั้งปีของปีนั้น ประมาณ 10-20% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ

สำหรับการเลือกตั้งในปีนี้นั้นเชื่อว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10-20% เช่นกัน เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นเอเชียยังให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าตลาดหุ้นยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จึงทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ เศรษฐกิจไทย มีการเติบโตที่ดี บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรเติบโตดีเช่นกัน ซึ่งเห็นจากในไตรมาส1/54 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีกำไรดต 50% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดว่าไตรมาสที่เหลือก็จะดีต่อไป นอกจากนี้บจ.ไทยให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในช่วงก่อนการเลือกตั้งจะเม็ดเงินลงทุนระยะสั้น เหมือนกัน 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ หากผลการเมืองตั้งที่ออกมานั้นฝ่ายที่ได้รับคะแนนเสียงสามารถที่จะมีเสียงข้างมากในสภาก็จะทำให้เม็ดเงินต่างประเทศมีการลงทุนยาว แต่ขึ้นปัจจัยอื่นๆและทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่ภาพรวมทั้งปีนี้เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน จากที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวอยู่ในระดับไม่สูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง จึงทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น

“ปริมาณการซื้อขายในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะดี แต่คงเป็นระยะสั้นตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค ไม่ได้เป็นเงินระยะยาว หากจะเป็นเงินยาวจริงต้องมีปัจจัยบวกชัดเจน เหมือนช่วงการเลือกตั้งที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก ซึ่งปัจจัยบวกชัดเจน ทำให้เงินลงทุนของต่างชาติเข้าลงทุนระยะยาว แต่การเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น การซื้อขายช่วงนี้คงดี แต่หลังเลือกตั้งขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค”นางเทียนทิพ กล่าว

นางเทียนทิพ กล่าวว่า ประเด็นที่จะต้องมีการจับตา คือเรื่อง การสิ้นสุดนโยบายทางการเงินผ่อนคลาย (QE2)ของสหรัฐอเมริกา ในเดือนมิถุนายน ว่าจะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นอย่างไร ทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และทิศทางการลงทุนของเม็ดเงินต่างประเทศว่าจะเป็นไปทิศทางใด โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.40% จากเดือนก่อน โดยดัชนีหลักทรัพย์ทุกอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหมด ยกเว้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำ เช่นกลุ่มยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ รับผลกระทบจากภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น เพราะคาดว่าไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากการหยุดการผลิตของญี่ปุ่นมากกว่า

สำหรับการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้พบว่าบริษัทจดทะเบียนได้มีการระดมทุนรวม 4.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือคิดเป็น 334% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่าการระดมทุน 1.09 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นได้เป็นปัจจัยหนุนให้เกิดการเพิ่มทุน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์) เป็นหลัก

"กรณ์"โยนก.ล.ต.ตามเชือดปั่นหุ้น

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเปิดเผยถึงกรณีที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) แสดงความเป็นห่วงเรื่องการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เพื่อนำเงินมาเตรียมการเลือกตั้งว่า มีเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ที่จะต้องตรวจสอบดูแลว่า ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือใครก็ตาม ถ้ามีพฤติกรรมการปั่นหุ้น หรือมีการใช้ข้อมูลภายใน (insider) ในการซื้อขายหุ้นจนทำให้ตลาดหุ้นเสียหาย ก็เป็นหน้าที่ที่ก.ล.ต.ต้องเข้าไปดำเนินการ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไว้ ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการรักษาความน่าเชื่อถือและการบังคับใช้กฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น