นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซียกรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน)หรือ AGE เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,839 ล้านบาท เนื่องจาก ยอดขายถ่านหินของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายถ่านหิน 2.1 ล้านตันต่อปี จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขายที่ 1.9 ล้านตัวต่อปี ซึ่งในไตรมาส 1/54 มียอดขายถ่านหิน 5 แสนตัน
"บริษัทได้ปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นครั้งที่3 จากเดิมที่คาดว่าจะโต 20% ปรับครั้งแรกเพิ่มเป็น 30-40% ปรับครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 50% และ ครั้งล่าสุดปรับเพิ่มเป็น 80% เพราะ ความต้องการใช้ถ่านหินมีการเติบโตที่สูงกว่าที่คาดการไว้ "นายพนม กล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทได้ส่งสินค้าไปขายที่ประเทศจีนเพราะบริษัทมีแผนที่จะขยายการจำหน่ายถ่านหินไปในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ในปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการสำรวจตลาดในประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้บริษัทคาดว่าภายในปีหน้าสัดส่วนการขายถ่านหินของบริษัทในต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน30-40%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตที่สูงนั้น ทำให้คาดว่าเป้าหมายรายได้ของบริษัทที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท จะทำได้ภายใน 3 ปี คือในปี 56 จากเดิมที่คาดว่าจะเห็นภายใน 5 ปี (54-58 ) ส่วนความคืบหน้าในการซื้อเหมืองถ่านหินนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา อยู่ซึ่งมี 3 แนวทาง คือ การซื้อกิจการ การร่วมทุน และซื้อถ่านหินแบบเหมาทั้งเหมือง ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลได้ในปลายไตรมาส3/54 หรือต้นไตรมาส4/54 ซึ่งการที่ใช้เวลานานเพราะต้องการเข้าไปซื้อเหมืองถ่านหินที่เหมาะสมที่สุด ส่วนเงินทุนนั้นได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1-2 พันล้านบาท เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
นายพนม กล่าวว่า ราคาหุ้นของบริษัทที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ กว่า 20 บาท ซึ่งราคาระดับนี้ นักลงทุนยังมองว่ายังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้ราคาหุ้นจะสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมากก็ตาม เพราะธุรกิจพลังงานยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง และบริษัทมีแผนการขยายตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับผลงานไตรมาสแรกปีนี้พบว่ามีรายได้ 1,318.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 74.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 197.04% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 25.19 ล้านบาท ส่วนใหญ่โตขยายตลาดต่างประเทศเป็นปีแรก
"บริษัทได้ปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นครั้งที่3 จากเดิมที่คาดว่าจะโต 20% ปรับครั้งแรกเพิ่มเป็น 30-40% ปรับครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 50% และ ครั้งล่าสุดปรับเพิ่มเป็น 80% เพราะ ความต้องการใช้ถ่านหินมีการเติบโตที่สูงกว่าที่คาดการไว้ "นายพนม กล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทได้ส่งสินค้าไปขายที่ประเทศจีนเพราะบริษัทมีแผนที่จะขยายการจำหน่ายถ่านหินไปในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ในปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการสำรวจตลาดในประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้บริษัทคาดว่าภายในปีหน้าสัดส่วนการขายถ่านหินของบริษัทในต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน30-40%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตที่สูงนั้น ทำให้คาดว่าเป้าหมายรายได้ของบริษัทที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท จะทำได้ภายใน 3 ปี คือในปี 56 จากเดิมที่คาดว่าจะเห็นภายใน 5 ปี (54-58 ) ส่วนความคืบหน้าในการซื้อเหมืองถ่านหินนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา อยู่ซึ่งมี 3 แนวทาง คือ การซื้อกิจการ การร่วมทุน และซื้อถ่านหินแบบเหมาทั้งเหมือง ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลได้ในปลายไตรมาส3/54 หรือต้นไตรมาส4/54 ซึ่งการที่ใช้เวลานานเพราะต้องการเข้าไปซื้อเหมืองถ่านหินที่เหมาะสมที่สุด ส่วนเงินทุนนั้นได้เตรียมเงินไว้แล้ว 1-2 พันล้านบาท เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
นายพนม กล่าวว่า ราคาหุ้นของบริษัทที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ กว่า 20 บาท ซึ่งราคาระดับนี้ นักลงทุนยังมองว่ายังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้ราคาหุ้นจะสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมากก็ตาม เพราะธุรกิจพลังงานยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง และบริษัทมีแผนการขยายตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับผลงานไตรมาสแรกปีนี้พบว่ามีรายได้ 1,318.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 74.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 197.04% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 25.19 ล้านบาท ส่วนใหญ่โตขยายตลาดต่างประเทศเป็นปีแรก
