ขณะที่สถานการณ์รอบด้านของไทยดูเศร้าๆ เหงาๆ และเหมือนสิ้นหวังในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้อง ภาวการณ์ว่างงาน เรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรซึ่งยังวังเวงสับสน จนประธานสภาผู้แทนราษฎรหน้าแตกประกาศลาสภา เพราะข้อมูลไม่ถูกต้อง เรื่องความผันผวนของราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างถี่ขึ้นๆ ลงๆ แต่ขึ้นมากกว่าลงจนผู้คนงงงวยจับต้นชนปลายในการวางแผนธุรกิจไม่ถูก
ด้านต่างประเทศก็ดูเหมือนมีแต่เรื่องร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองทัพเรือสหรัฐฯ สังหารอุซามะห์ บินลาดิน สำเร็จ หลังจากที่ CIA และหน่วยล่าสังหารหลายสังกัด รวมทั้งนักล่าเงินรางวัลรุ่มล่าอุซามะห์ บินลาดิน ตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ซึ่งล้มเหลวมาตลอด จนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ก็พบที่ซ่อนตัวและสังหารทิ้งในเมืองอับบอตตามัดใกล้กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ทิ้งเรื่องราวต่างๆ ไว้เบื้องหลังที่ยังไม่กระจ่างหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ทาง DNA การแสดงภาพ และการยืนยันอย่างเป็นทางการทางนิติเวชวิทยาจากฟันหรือจากบุคคลที่รู้จัก รวมทั้งการทำศพแบบประเพณีทะเลด้วยการทิ้งศพลงทะเล เพื่อมิให้มีการนำศพไปฝังสร้างอนุสาวรีย์วีรบุรุษ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะอนุสาวรีย์ไม่จำเป็นต้องมีศพ เพียงแค่การสร้างถาวรวัตถุโยงถึงบทบาท การเสียสละ หรือพฤติกรรมที่ผู้คนศรัทธาก็สร้างกระแสจิตวิทยาได้
เรื่องร้ายในด้านนี้ก็คือการล้างแค้นของอัลกออิดะห์ ที่อาจทำการฆ่าศัตรูแบบพลีชีพตามผู้นำที่เขาศรัทธา และอาจจะเป็นการกระทำเชิงพิธีกรรมทั่วโลกที่มีคนอเมริกันอาศัยอยู่ สงครามครั้งสุดท้าย หรือสงครามล้างแค้นย่อมหฤโหดและซับซ้อน ยากที่จะพยากรณ์ จึงหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น ด้วยเมตตาธรรม ความจริง และการเคารพ แต่หากสื่อตะวันตกยังคงกระพือเรื่องนี้หลายแง่มุม ซึ่งหลายเรื่องไม่กระจ่าง อาจจะทำให้เกิดแนวร่วมพลีชีพมากขึ้น เพราะตระกูลบินลาดินยังคงมีฐานะมั่งคั่ง และยังเป็นที่นับถือของคนในซาอุดีอาระเบีย ด้วยบริษัท Bin Laden Group ยังมีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย แม้อุซามะห์ จะเป็นแกนนำ อัลกออิดะห์ แต่เมื่อเขาถูกประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้ว ความชั่วของเขาก็จากตายไปด้วย การกระทำอันเป็นการประณามหลังการตายย่อมจุดประกายความแค้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในปากีสถาน
แต่คิดมุมกลับว่าทำไมอุซามะห์ จึงต้องมาหลบซ่อนที่ปากีสถาน ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอัลกออิดะห์ของสหรัฐฯ และทำไมข่ายการข่าวของเขาจึงอ่อนแอและปราศจากการป้องกันที่รัดกุม หรือหน่วยซีลเก่งกว่าในภาพยนตร์ นี่เป็นคำถามของคนทั้งโลก ซึ่งต้องการให้อุซามะห์ บิน ลาดิน ตายจริงๆ
และเรื่องไทยปะทะเขมรเกเรที่ไม่ยอมยุติการซุ่มโจมตีคนไทย แถมยังมีหน้าฟ้องศาลโลกเพื่อให้ตีความคำพิพากษาเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งรัฐบาลยังคงแถลงว่าไม่มีปัญหา เพราะเตรียมการดี แต่คนไทยมากมายไม่เชื่อน้ำยา เพราะมีหลายเรื่องที่รัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการจัดการ หากสาธยายต้องเขียนเป็นหนังสือเล่มโต โดยเฉพาะในเรื่องเขมรเกเรเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยในบริเวณสู้รบ มีพลเรือนและทหารบาดเจ็บล้มตายนับสิบแต่การปะทะยังยืดเยื้อ
การที่เขมรเกเรฟ้องศาลโลกนั้น เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องมีส่วนรับรู้ถึงกรอบแผนงาน ตัวละครที่ต้องรับผิดชอบ ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีไหวพริบปฏิภาณ มีอำนาจการใช้ภาษา และกล้าในการตัดสินใจ ต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมแบบไม่มีข้อสงสัย เพราะเราไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในเรื่องคำตัดสิน
ประเด็นนี้มีผู้เสนอแนะผ่านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว ดร.สมปอง สุจริตกุล ควรจะได้รับการเชิญให้เข้าร่วมในส่วนของคณะทำงาน มอบอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบให้ท่าน แต่ที่สำคัญจะให้ท่านร่วมด้วยจะต้องทำตามที่ท่านได้เสนอให้บอกยกเลิก MOU 43 เพราะเพียงแค่นี้ยังปฏิเสธท่านแล้วในศาลจะเคารพคำแนะนำของท่านหรือ
เราจะต้องศึกษาประวัติการศึกษา การทำงาน และการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในการขึ้นศาลโลก ปี พ.ศ. 2505 ของท่านในคณะผู้แทนทนายฝ่ายไทย นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่ง ดร.สมปอง สุจริตกุล เป็นเจ้าหน้าที่ในคณะทนายความของฝ่ายไทยด้วย
เพียงการที่ท่านสามารถบรรยายเหตุการณ์ทางนิตินัยที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็สร้างน้ำหนักในสำนวนได้มากแล้ว รวมทั้งคำวิเคราะห์เชิงวิชาการนิติศาสตร์ของท่านเกี่ยวกับการตัดสินแล้ว ก็น่าที่จะเป็นบทนำสู่การแถลงแก้ต่างในศาลโลกครั้งใหม่ยุคเขมรฮุนเซนได้ดียิ่ง
นอกจากนี้หากพิจารณาถึงภาวการณ์รอบตัวเราแล้ว ในห้วง 4 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เรื่องราวทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และพฤติกรรมของคนไทยลงสู่เหวเกือบทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าสังคมไทยขาดมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม และความรู้ เช่น เรื่องอื้อฉาวของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่กระทรวงศึกษาธิการและสภามหาวิทยาลัยไร้คุณภาพ ไม่กำกับดูแลการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยในอาณัติของตน
นักการเมืองต่างๆ ใช้ลัทธิอัตตานำ ลัทธินี้ทุกคนเห็นประโยชน์ส่วนตัวเหนือชาติบ้านเมืองเป็นหลัก เหตุผลส่วนตัวติดอยู่กับแก่นความคิด จิตใจ กิเลส อำนาจ และความโลภ จึงต้องสร้างเครือข่าย เกราะป้องกันจากเครือญาติ เพราะไว้วางใจมากกว่าคนใกล้ตัว ดังตัวอย่างเมื่อนายเนวิน ชิดชอบคนใกล้ตัวแปรพักตร์ ทำให้ทักษิณอกหักอย่างแรง
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าขณะนี้นักการเมืองจะนำลูกเข้าสู่การเมือง ทั้งๆ ที่ยังขาดวุฒิภาวะ ขาดวัยวุฒิ ขาดจริยธรรม ขาดวิจารณญาณ ขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับประวัติการเมืองสากลและของไทยและในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน สิ่งเหล่านี้ต้องการเวลาในการสร้างสมและสะสม ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะกล่าวถึง นายปองพล อดิเรกสาร บุตร พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร แต่ผลงานของนายปองพลด้านวรรณคดี และงานประพันธ์ ได้แสดงถึงศักยภาพความรู้ความสามารถ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สังคมยอมรับข้อเท็จจริงนี้
นายกร ทัพพะรังสี หลาน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ทำงานสถานทูตแคนาดา 6 ปี รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ใช้เวลาเรียนรู้จาก พล.อ.ชาติชาย และนักการเมืองอื่นๆ อีกหลายคน นานหลายปีก่อนที่จะเข้าเล่นการเมือง มีผลงานที่ปราศจากครหาเรื่องการทุจริต ปัจจุบันยอมรับเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และยังมีดนตรีในหัวใจ แต่สิ่งที่ขาดคือปัจจัยเงินแจกจ่าย ส่วนนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นั้นจะอยู่ตรงข้ามกับพล.อ.ชาติชาย ผู้บิดาที่กล่าวทำนองว่าบ้านผมมีปีกขวา ปีกซ้าย
หากลองจินตนาการดูว่าบรรดาทายาทของนักการเมืองในปัจจุบันที่หวังเรียนลัด ต้องการอำนาจจากพ่อ แต่พฤติกรรมในอดีตที่เป็นคนก่อปัญหาสังคมร้ายแรง อาศัยบริวารพ่อและสมุนของพ่อ อาศัยเงินของพ่อ อาศัยอำนาจพ่อ บางกรณีให้ได้รับการตีตราว่าเคยรับราชการทหารบ้าง ฯลฯ เข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยแล้ว ประเทศไทยจะประสบปัญหาวิกฤตการเมืองอย่างเลวร้ายที่สุดในรอบประวัติการเมืองไทย 80 ปี และหากเป็นเช่นนั้น จึงเกิดคำถามว่าแล้วเมื่อไรไทยจะมีอารยธรรมทางการเมืองเสียที่
Vote No จึงเป็นหนทางหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ที่คนทั้งหลายมีสิทธิที่จะไม่เลือกใครเลย แต่ไปเลือกตั้งแสดงสิทธิในระบอบประชาธิปไตยเพราะไม่ต้องการนักการเมืองเหล่านั้นเป็นอันดับแรก
สัดส่วนของ Vote No จะเป็นกระจกสะท้อนความต้องการของประชาชนว่าการเมืองไทยควรจะหยุดพักสักนิด เพื่อปฏิรูปกันอย่างจริงจังด้วยหลักธรรม ด้วยนิติธรรม และคุณธรรม สร้างความโปร่งใส และวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ไม่ใช้อำนาจโกงกินบ้านเมือง ทำให้เมืองไทยเสื่อมเสีย แต่เป็นการเสียสละอันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย สร้างนิติรัฐให้ได้สมบูรณ์ มิฉะนั้นแล้ววังน้ำวนโสโครกก็ยังคงหมุนเวียน อันมีแต่จะเน่าเสียยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ด้านต่างประเทศก็ดูเหมือนมีแต่เรื่องร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองทัพเรือสหรัฐฯ สังหารอุซามะห์ บินลาดิน สำเร็จ หลังจากที่ CIA และหน่วยล่าสังหารหลายสังกัด รวมทั้งนักล่าเงินรางวัลรุ่มล่าอุซามะห์ บินลาดิน ตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ซึ่งล้มเหลวมาตลอด จนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ก็พบที่ซ่อนตัวและสังหารทิ้งในเมืองอับบอตตามัดใกล้กรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ทิ้งเรื่องราวต่างๆ ไว้เบื้องหลังที่ยังไม่กระจ่างหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ทาง DNA การแสดงภาพ และการยืนยันอย่างเป็นทางการทางนิติเวชวิทยาจากฟันหรือจากบุคคลที่รู้จัก รวมทั้งการทำศพแบบประเพณีทะเลด้วยการทิ้งศพลงทะเล เพื่อมิให้มีการนำศพไปฝังสร้างอนุสาวรีย์วีรบุรุษ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะอนุสาวรีย์ไม่จำเป็นต้องมีศพ เพียงแค่การสร้างถาวรวัตถุโยงถึงบทบาท การเสียสละ หรือพฤติกรรมที่ผู้คนศรัทธาก็สร้างกระแสจิตวิทยาได้
เรื่องร้ายในด้านนี้ก็คือการล้างแค้นของอัลกออิดะห์ ที่อาจทำการฆ่าศัตรูแบบพลีชีพตามผู้นำที่เขาศรัทธา และอาจจะเป็นการกระทำเชิงพิธีกรรมทั่วโลกที่มีคนอเมริกันอาศัยอยู่ สงครามครั้งสุดท้าย หรือสงครามล้างแค้นย่อมหฤโหดและซับซ้อน ยากที่จะพยากรณ์ จึงหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น ด้วยเมตตาธรรม ความจริง และการเคารพ แต่หากสื่อตะวันตกยังคงกระพือเรื่องนี้หลายแง่มุม ซึ่งหลายเรื่องไม่กระจ่าง อาจจะทำให้เกิดแนวร่วมพลีชีพมากขึ้น เพราะตระกูลบินลาดินยังคงมีฐานะมั่งคั่ง และยังเป็นที่นับถือของคนในซาอุดีอาระเบีย ด้วยบริษัท Bin Laden Group ยังมีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย แม้อุซามะห์ จะเป็นแกนนำ อัลกออิดะห์ แต่เมื่อเขาถูกประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้ว ความชั่วของเขาก็จากตายไปด้วย การกระทำอันเป็นการประณามหลังการตายย่อมจุดประกายความแค้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในปากีสถาน
แต่คิดมุมกลับว่าทำไมอุซามะห์ จึงต้องมาหลบซ่อนที่ปากีสถาน ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอัลกออิดะห์ของสหรัฐฯ และทำไมข่ายการข่าวของเขาจึงอ่อนแอและปราศจากการป้องกันที่รัดกุม หรือหน่วยซีลเก่งกว่าในภาพยนตร์ นี่เป็นคำถามของคนทั้งโลก ซึ่งต้องการให้อุซามะห์ บิน ลาดิน ตายจริงๆ
และเรื่องไทยปะทะเขมรเกเรที่ไม่ยอมยุติการซุ่มโจมตีคนไทย แถมยังมีหน้าฟ้องศาลโลกเพื่อให้ตีความคำพิพากษาเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งรัฐบาลยังคงแถลงว่าไม่มีปัญหา เพราะเตรียมการดี แต่คนไทยมากมายไม่เชื่อน้ำยา เพราะมีหลายเรื่องที่รัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการจัดการ หากสาธยายต้องเขียนเป็นหนังสือเล่มโต โดยเฉพาะในเรื่องเขมรเกเรเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยในบริเวณสู้รบ มีพลเรือนและทหารบาดเจ็บล้มตายนับสิบแต่การปะทะยังยืดเยื้อ
การที่เขมรเกเรฟ้องศาลโลกนั้น เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องมีส่วนรับรู้ถึงกรอบแผนงาน ตัวละครที่ต้องรับผิดชอบ ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีไหวพริบปฏิภาณ มีอำนาจการใช้ภาษา และกล้าในการตัดสินใจ ต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมแบบไม่มีข้อสงสัย เพราะเราไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในเรื่องคำตัดสิน
ประเด็นนี้มีผู้เสนอแนะผ่านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้ว ดร.สมปอง สุจริตกุล ควรจะได้รับการเชิญให้เข้าร่วมในส่วนของคณะทำงาน มอบอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบให้ท่าน แต่ที่สำคัญจะให้ท่านร่วมด้วยจะต้องทำตามที่ท่านได้เสนอให้บอกยกเลิก MOU 43 เพราะเพียงแค่นี้ยังปฏิเสธท่านแล้วในศาลจะเคารพคำแนะนำของท่านหรือ
เราจะต้องศึกษาประวัติการศึกษา การทำงาน และการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในการขึ้นศาลโลก ปี พ.ศ. 2505 ของท่านในคณะผู้แทนทนายฝ่ายไทย นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่ง ดร.สมปอง สุจริตกุล เป็นเจ้าหน้าที่ในคณะทนายความของฝ่ายไทยด้วย
เพียงการที่ท่านสามารถบรรยายเหตุการณ์ทางนิตินัยที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็สร้างน้ำหนักในสำนวนได้มากแล้ว รวมทั้งคำวิเคราะห์เชิงวิชาการนิติศาสตร์ของท่านเกี่ยวกับการตัดสินแล้ว ก็น่าที่จะเป็นบทนำสู่การแถลงแก้ต่างในศาลโลกครั้งใหม่ยุคเขมรฮุนเซนได้ดียิ่ง
นอกจากนี้หากพิจารณาถึงภาวการณ์รอบตัวเราแล้ว ในห้วง 4 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เรื่องราวทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และพฤติกรรมของคนไทยลงสู่เหวเกือบทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าสังคมไทยขาดมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม และความรู้ เช่น เรื่องอื้อฉาวของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่กระทรวงศึกษาธิการและสภามหาวิทยาลัยไร้คุณภาพ ไม่กำกับดูแลการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยในอาณัติของตน
นักการเมืองต่างๆ ใช้ลัทธิอัตตานำ ลัทธินี้ทุกคนเห็นประโยชน์ส่วนตัวเหนือชาติบ้านเมืองเป็นหลัก เหตุผลส่วนตัวติดอยู่กับแก่นความคิด จิตใจ กิเลส อำนาจ และความโลภ จึงต้องสร้างเครือข่าย เกราะป้องกันจากเครือญาติ เพราะไว้วางใจมากกว่าคนใกล้ตัว ดังตัวอย่างเมื่อนายเนวิน ชิดชอบคนใกล้ตัวแปรพักตร์ ทำให้ทักษิณอกหักอย่างแรง
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าขณะนี้นักการเมืองจะนำลูกเข้าสู่การเมือง ทั้งๆ ที่ยังขาดวุฒิภาวะ ขาดวัยวุฒิ ขาดจริยธรรม ขาดวิจารณญาณ ขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับประวัติการเมืองสากลและของไทยและในส่วนที่เกี่ยวข้องกัน สิ่งเหล่านี้ต้องการเวลาในการสร้างสมและสะสม ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะกล่าวถึง นายปองพล อดิเรกสาร บุตร พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร แต่ผลงานของนายปองพลด้านวรรณคดี และงานประพันธ์ ได้แสดงถึงศักยภาพความรู้ความสามารถ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สังคมยอมรับข้อเท็จจริงนี้
นายกร ทัพพะรังสี หลาน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ทำงานสถานทูตแคนาดา 6 ปี รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ใช้เวลาเรียนรู้จาก พล.อ.ชาติชาย และนักการเมืองอื่นๆ อีกหลายคน นานหลายปีก่อนที่จะเข้าเล่นการเมือง มีผลงานที่ปราศจากครหาเรื่องการทุจริต ปัจจุบันยอมรับเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และยังมีดนตรีในหัวใจ แต่สิ่งที่ขาดคือปัจจัยเงินแจกจ่าย ส่วนนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นั้นจะอยู่ตรงข้ามกับพล.อ.ชาติชาย ผู้บิดาที่กล่าวทำนองว่าบ้านผมมีปีกขวา ปีกซ้าย
หากลองจินตนาการดูว่าบรรดาทายาทของนักการเมืองในปัจจุบันที่หวังเรียนลัด ต้องการอำนาจจากพ่อ แต่พฤติกรรมในอดีตที่เป็นคนก่อปัญหาสังคมร้ายแรง อาศัยบริวารพ่อและสมุนของพ่อ อาศัยเงินของพ่อ อาศัยอำนาจพ่อ บางกรณีให้ได้รับการตีตราว่าเคยรับราชการทหารบ้าง ฯลฯ เข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยแล้ว ประเทศไทยจะประสบปัญหาวิกฤตการเมืองอย่างเลวร้ายที่สุดในรอบประวัติการเมืองไทย 80 ปี และหากเป็นเช่นนั้น จึงเกิดคำถามว่าแล้วเมื่อไรไทยจะมีอารยธรรมทางการเมืองเสียที่
Vote No จึงเป็นหนทางหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ที่คนทั้งหลายมีสิทธิที่จะไม่เลือกใครเลย แต่ไปเลือกตั้งแสดงสิทธิในระบอบประชาธิปไตยเพราะไม่ต้องการนักการเมืองเหล่านั้นเป็นอันดับแรก
สัดส่วนของ Vote No จะเป็นกระจกสะท้อนความต้องการของประชาชนว่าการเมืองไทยควรจะหยุดพักสักนิด เพื่อปฏิรูปกันอย่างจริงจังด้วยหลักธรรม ด้วยนิติธรรม และคุณธรรม สร้างความโปร่งใส และวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ไม่ใช้อำนาจโกงกินบ้านเมือง ทำให้เมืองไทยเสื่อมเสีย แต่เป็นการเสียสละอันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย สร้างนิติรัฐให้ได้สมบูรณ์ มิฉะนั้นแล้ววังน้ำวนโสโครกก็ยังคงหมุนเวียน อันมีแต่จะเน่าเสียยิ่งขึ้นเรื่อยๆ