๐๐ไม่รู้ว่าเจรจาหยุดยิงประสาอะไร เพราะหลังจากมีการรับปากรับคำกันดิบดีระหว่างผู้นำทหารไทยและกัมพูชาที่รับผิดชอบในพื้นที่ปะทะ แต่กลายเป็นว่าหลังจากนั้นทุกวันก็ยังมีการลอบกัด ทำผิดคำพูดจากฝ่ายกัมพูชา มีการยิงถล่มทหารไทยตลอดเวลา มีทหารไทยเจ็บตายทุกวัน ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 3 พ.ค.ก็ต้องสังเวยไปอีก 1 ศพ เจ็บอีกไม่น้อยกว่า 3 นาย แล้ว “แม่ทัพเยิ้ม” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ก็บอกว่าในเวลา 10 โมงวันเดียวกันจะมีการเจรจาหยุดยิงกันอีกรอบ ทุด !!
๐๐ ถามว่าหลังมีการเจรจากันแล้วก็ต้องมารอลุ้นกันว่าฝ่ายเขมรจะลอบยิงเข้ามาอีกเมื่อไหร่กลายเป็นว่าชะตากรรมของทหารไทยและคนไทยตามแนวชายแดนจะต้องรอให้อีกฝ่ายเป็นผู้กำหนดอย่างนั้นหรือ ผู้นำฝ่ายทหารของไทยทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้นอกเหนือจากการนั่งรออยู่ “ฐานที่มั่น”อย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือเวลานี้เหมือนกับยิงต่อสู้กับฝ่ายกัมพูชาในบ้านของตัวเอง เมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาเราก็ยิงตอบโต้ แต่ก็ทำได้แค่ป้องกันอยู่ “ภายใน”เท่านั้น ขณะที่อีกฝ่ายแม้ว่าจะเข้ามาอยู่ใน “รั้วบ้าน” และยิงเราจนเหนื่อยไปเอง แต่เราก็ยังไม่ฉวยโอกาสขับไล่ออกไป หยุดอยู่กับที่เท่านั้น
๐๐ที่น่าแปลกใจอีกเรื่องก็คือเวลานี้ทางรัฐบาลกัมพูชาได้เปิด “แนวรุก”ใหม่ ย้ายจากชายแดนไปที่ “ศาลโลก” ให้ช่วยตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505ที่เกี่ยวกับเขตแดนรอบปราสาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายไทยโดย นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ได้ตอบรับที่จะเล่นเกมนี้ โดยสั่งให้รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ว่าจ้างทนายฝรั่งเศสเป็นคนแก้ต่างให้เสร็จสรรพ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนเริ่มกังวลกันอีกว่าเราจะ “เสียท่า” ซ้ำรอยอดีตอีกรอบ เพราะคราวนั้นเราไปยอมรับกระบวนการในศาลโลกที่มีองค์ประกอบหลักมาจากชาติตะวันตกที่นำโดยฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชา ลักษณะจึงออกมาไม่ต่างจาก “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” เพื่อรุกรานประเทศที่มีอำนาจอ่อนแอกว่าเท่านั้น
๐๐ที่สำคัญก็คือเมื่อเรารู้ว่าเสียเปรียบแทบจะทุกด้าน แต่ดันไปเล่นตามเกมที่เขากำหนดขึ้นมา มันก็น่าจะแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แทนที่จะต้องปฏิเสธ เพราะในตอนท้ายของคำพิพากษาศาลโลกก็ได้บอกชัดแล้วว่าพิจารณาเฉพาะอธิปไตย “เฉพาะตัวปราสาท” ไม่ใช่พื้นที่โดยรอบ ดังนั้นคราวนี้มันก็มีสิทธิ์ “จบเห่” โดยสมบูรณ์ เพราะเรามีรัฐบาลที่ “ห่วยแตก” มีผู้นำที่ “ดีแต่พูด” ผู้นำกองทัพที่ “ท่าดีทีเหลว” ทุด !!
๐๐มาถึงนาทีนี้ดูตามแนวโน้มแล้วกลายเป็นว่ากำหนดวันยุบสภาคงต้องเลื่อนออกไปเป็น “หลังสัปดาห์แรก”ของเดือนพ.ค.เป็นแน่แท้ เพราะล่าสุดศาลรธน.มีกำหนดวินิจฉัยกม.ลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับในวันที่ 9 พ.ค. แต่ในส่วนของการส่งคำชี้แจงของฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง ประธานรัฐสภา นายกฯและกกต.ยืนยันว่าจะส่งคำชี้แจงไปให้พิจารณาก่อนวันที่ 6 พ.ค.แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นไปได้เหมือนกันถ้าส่งไปเร็วก็วินิจฉัยได้เร็ว และบางทีศาลก็อาจวินิจฉัยได้ทันกำหนดการยุบสภาตามที่ นายกฯอภิสิทธิ์ได้กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน
๐๐อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจก็คือการประชุมครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้จะมีรายการ “ทิ้งทวน” อีกกี่โครงการมูลค่ากี่หมื่นกี่แสนล้านกันแน่เท่านั้น เพราะนี่คือรายการ “เก็บกระสุน” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เพราะล่าสุดทราบมาว่าแต่ละกระทรวงต่างเร่งมือกันขนานใหญ่รวมแล้วมีมูลค่างบประมาณกว่า 1.2 แสนล้านบาท แยกเป็นของคมนาคมเจ้าเก่าของบซ่อม-สร้างถนนจำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท และกลาโหมของ “เสี่ยอ้วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังเดินหน้าอนุรักษ์ “มรดกฉาว”ของ “เสี่ยป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.ด้วยการบีบบังคับให้อนุมัติงบผูกพันซื้อ “รถหุ้มเกราะล้อยาง”ยูเครนอีก 54 คันกว่า 7 พันล้านบาท เอาเข้าไป !!
๐๐ ถามว่าหลังมีการเจรจากันแล้วก็ต้องมารอลุ้นกันว่าฝ่ายเขมรจะลอบยิงเข้ามาอีกเมื่อไหร่กลายเป็นว่าชะตากรรมของทหารไทยและคนไทยตามแนวชายแดนจะต้องรอให้อีกฝ่ายเป็นผู้กำหนดอย่างนั้นหรือ ผู้นำฝ่ายทหารของไทยทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้นอกเหนือจากการนั่งรออยู่ “ฐานที่มั่น”อย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือเวลานี้เหมือนกับยิงต่อสู้กับฝ่ายกัมพูชาในบ้านของตัวเอง เมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาเราก็ยิงตอบโต้ แต่ก็ทำได้แค่ป้องกันอยู่ “ภายใน”เท่านั้น ขณะที่อีกฝ่ายแม้ว่าจะเข้ามาอยู่ใน “รั้วบ้าน” และยิงเราจนเหนื่อยไปเอง แต่เราก็ยังไม่ฉวยโอกาสขับไล่ออกไป หยุดอยู่กับที่เท่านั้น
๐๐ที่น่าแปลกใจอีกเรื่องก็คือเวลานี้ทางรัฐบาลกัมพูชาได้เปิด “แนวรุก”ใหม่ ย้ายจากชายแดนไปที่ “ศาลโลก” ให้ช่วยตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505ที่เกี่ยวกับเขตแดนรอบปราสาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายไทยโดย นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ได้ตอบรับที่จะเล่นเกมนี้ โดยสั่งให้รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ว่าจ้างทนายฝรั่งเศสเป็นคนแก้ต่างให้เสร็จสรรพ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนเริ่มกังวลกันอีกว่าเราจะ “เสียท่า” ซ้ำรอยอดีตอีกรอบ เพราะคราวนั้นเราไปยอมรับกระบวนการในศาลโลกที่มีองค์ประกอบหลักมาจากชาติตะวันตกที่นำโดยฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชา ลักษณะจึงออกมาไม่ต่างจาก “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” เพื่อรุกรานประเทศที่มีอำนาจอ่อนแอกว่าเท่านั้น
๐๐ที่สำคัญก็คือเมื่อเรารู้ว่าเสียเปรียบแทบจะทุกด้าน แต่ดันไปเล่นตามเกมที่เขากำหนดขึ้นมา มันก็น่าจะแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แทนที่จะต้องปฏิเสธ เพราะในตอนท้ายของคำพิพากษาศาลโลกก็ได้บอกชัดแล้วว่าพิจารณาเฉพาะอธิปไตย “เฉพาะตัวปราสาท” ไม่ใช่พื้นที่โดยรอบ ดังนั้นคราวนี้มันก็มีสิทธิ์ “จบเห่” โดยสมบูรณ์ เพราะเรามีรัฐบาลที่ “ห่วยแตก” มีผู้นำที่ “ดีแต่พูด” ผู้นำกองทัพที่ “ท่าดีทีเหลว” ทุด !!
๐๐มาถึงนาทีนี้ดูตามแนวโน้มแล้วกลายเป็นว่ากำหนดวันยุบสภาคงต้องเลื่อนออกไปเป็น “หลังสัปดาห์แรก”ของเดือนพ.ค.เป็นแน่แท้ เพราะล่าสุดศาลรธน.มีกำหนดวินิจฉัยกม.ลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับในวันที่ 9 พ.ค. แต่ในส่วนของการส่งคำชี้แจงของฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง ประธานรัฐสภา นายกฯและกกต.ยืนยันว่าจะส่งคำชี้แจงไปให้พิจารณาก่อนวันที่ 6 พ.ค.แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นไปได้เหมือนกันถ้าส่งไปเร็วก็วินิจฉัยได้เร็ว และบางทีศาลก็อาจวินิจฉัยได้ทันกำหนดการยุบสภาตามที่ นายกฯอภิสิทธิ์ได้กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน
๐๐อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจก็คือการประชุมครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้จะมีรายการ “ทิ้งทวน” อีกกี่โครงการมูลค่ากี่หมื่นกี่แสนล้านกันแน่เท่านั้น เพราะนี่คือรายการ “เก็บกระสุน” เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เพราะล่าสุดทราบมาว่าแต่ละกระทรวงต่างเร่งมือกันขนานใหญ่รวมแล้วมีมูลค่างบประมาณกว่า 1.2 แสนล้านบาท แยกเป็นของคมนาคมเจ้าเก่าของบซ่อม-สร้างถนนจำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท และกลาโหมของ “เสี่ยอ้วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังเดินหน้าอนุรักษ์ “มรดกฉาว”ของ “เสี่ยป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.ด้วยการบีบบังคับให้อนุมัติงบผูกพันซื้อ “รถหุ้มเกราะล้อยาง”ยูเครนอีก 54 คันกว่า 7 พันล้านบาท เอาเข้าไป !!
