ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์” งัดไม้แข็งกำหนดราคาขายหมูทั่วประเทศ สกัดราคาปั่นป่วน หลังราคาพุ่งทะลุกิโลละ 170-180 บาท ขู่หากเอาไม่อยู่เตรียมสั่งงดส่งออก ด้าน “ไตรรงค์” สั่งกรมสรรพกรตรวจภาษีย้อนหลังรายที่ขายหมู-ไข่เกินราคา
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในออกประกาศกำหนดราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มและราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงในแต่ละภูมิภาค เพื่อกำหนดราคาขายที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค หลังจากพบว่าราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มและหมูเนื้อแดงบางพื้นที่ยังมีราคาสูงอยู่ โดยบางแห่งสูงถึงกก.ละ 170-180 บาท จึงต้องใช้มาตรการกำหนดราคาเหมือนสินค้าไข่ไก่ ซึ่งหากรายใดขายเกินกว่าราคาที่กำหนด สามารถใช้กฎหมายเข้าไปจัดการ โดยจะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้
ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มและราคาหมูเนื้อแดงที่กำหนดออกมานั้น ได้แก่ พื้นกรุงเทพฯ ภาคกลาง ตะวันออก และตะวันตก ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่เกินกก.ละ 70 บาท ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงในตลาดสดไม่เกินกก.ละ 140 บาท พื้นที่จังหวัดภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่กินกก.ละ 74 บาท ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงไม่เกินกก.ละ 145 บาท พื้นที่จังหวัดภาคใต้ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่เกินกก.ละ 76 บาท ราคาหมูเนื้อแดงไม่เกินกก.ละ 150 บาท
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ปริมาณและราคาหมูยังไม่คลี่คลาย มีการขายเกินราคาที่กำหนดไว้มาก กระทรวงฯ จะใช้มาตรการห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตทุกกรณี
นางพรทิวากล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัยหาเนื้อหมูและไข่ไก่มีราคาแพง จะมีการขยายพื้นที่จัดจำหน่ายหมูธงฟ้าและไข่ไก่ธงฟ้า โดยเพิ่มจุดจำหน่ายให้ครบ 77 จังหวัด และในแต่ละจังหวัดให้เพิ่มจุดจำหน่ายมากขึ้น โดยล่าสุดการจำหน่ายไข่ไก่ธงฟ้า สามารถดำเนินการได้แล้ว 67 จังหวัด 154 จุด โดยไข่ไก่ธงฟ้าจำหน่ายราคาฟองละ 3.10-3.20 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไปของแต่ละพื้นที่ ประมาณฟองละ 20-30 สตางค์ ยกเว้นบางพื้นที่ที่ผู้เลี้ยงนำไข่ไก่มาจำหน่ายตรง ราคาไข่ไก่ธงฟ้าจะต่ำกว่าราคาตลาดประมาณฟองละ 20-40 สตางค์ ส่วนหมูธงฟ้าดำเนินการแล้ว 43 จังหวัด 84 จุด ในราคากก.ละ 110-120 บาท หรือถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปกก.ละ 15-20 บาท ตามภาวะราคาหมูเป็นในแต่ละพื้นที่
"จากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ทำให้ไข่ไก่ราคาหน้าฟาร์มทรงตัว บางแห่งอ่อนตัวลงมาบ้าง ส่วนปริมาณไข่ไก่นั้นมีเพียงพอกับความต้องการของผู้ซื้อ ขณะที่เนื้อหมูราคาก็อ่อนตัวลงมาเช่นเดียวกัน"นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายในการดูแลสินค้าหมูและไข่ไก่ว่า หากพบฟาร์มหรือผู้ประกอบการรายใดจำหน่ายสินค้าเกินกวาราคาแนะนำตามประกาศของกรมการค้าภายใน จะให้กรมสรรพกรเข้าไปตรวจสอบรายได้และการเสียภาษีย้อนหลังของผู้ประกอบการดังกล่าวด้วย
ก่อนหน้านี้ ปัญหาเนื้อหมูมีราคาแพงได้เริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย.2554 ก่อนเทศกาลสงกรานต์ โดยในช่วงนั้นผู้เลี้ยงหมูได้ปรับขึ้นราคาขายหมูเป็น โดยอ้างว่าอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งร้อน ทั้งหนาว และฝนตก ทำให้หมูโตช้า และยังมีปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ จึงต้องปรับขึ้นราคาหมูเป็น ทำให้หมูหน้าเขียงต้องปรับราคาขึ้นตาม โดยขยับราคาจากเดิมกก.ละ 110-120 บาท มาเป็น 140-150 บาท จากนั้นกรมการค้าภายในได้เข้ามาดูแล โดยเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร เขียงหมู และผู้าค้า ได้ข้อสรุปว่าจะจัดหมูธงฟ้าเพื่อดึงราคาในตลาด แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ยังมีปัญหาราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดต้องประกาศกำหนดราคาขายดังกล่าวออกมา ขณะที่ไข่ไก่ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยราคาได้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกรมการค้าภายในต้องประกาศราคาแนะนำขาย แต่ปัญหาไข่ไก่มีราคาแพงก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลงแต่อย่างใด.
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในออกประกาศกำหนดราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มและราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงในแต่ละภูมิภาค เพื่อกำหนดราคาขายที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค หลังจากพบว่าราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มและหมูเนื้อแดงบางพื้นที่ยังมีราคาสูงอยู่ โดยบางแห่งสูงถึงกก.ละ 170-180 บาท จึงต้องใช้มาตรการกำหนดราคาเหมือนสินค้าไข่ไก่ ซึ่งหากรายใดขายเกินกว่าราคาที่กำหนด สามารถใช้กฎหมายเข้าไปจัดการ โดยจะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้
ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มและราคาหมูเนื้อแดงที่กำหนดออกมานั้น ได้แก่ พื้นกรุงเทพฯ ภาคกลาง ตะวันออก และตะวันตก ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่เกินกก.ละ 70 บาท ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงในตลาดสดไม่เกินกก.ละ 140 บาท พื้นที่จังหวัดภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่กินกก.ละ 74 บาท ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงไม่เกินกก.ละ 145 บาท พื้นที่จังหวัดภาคใต้ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่เกินกก.ละ 76 บาท ราคาหมูเนื้อแดงไม่เกินกก.ละ 150 บาท
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ปริมาณและราคาหมูยังไม่คลี่คลาย มีการขายเกินราคาที่กำหนดไว้มาก กระทรวงฯ จะใช้มาตรการห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตทุกกรณี
นางพรทิวากล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัยหาเนื้อหมูและไข่ไก่มีราคาแพง จะมีการขยายพื้นที่จัดจำหน่ายหมูธงฟ้าและไข่ไก่ธงฟ้า โดยเพิ่มจุดจำหน่ายให้ครบ 77 จังหวัด และในแต่ละจังหวัดให้เพิ่มจุดจำหน่ายมากขึ้น โดยล่าสุดการจำหน่ายไข่ไก่ธงฟ้า สามารถดำเนินการได้แล้ว 67 จังหวัด 154 จุด โดยไข่ไก่ธงฟ้าจำหน่ายราคาฟองละ 3.10-3.20 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไปของแต่ละพื้นที่ ประมาณฟองละ 20-30 สตางค์ ยกเว้นบางพื้นที่ที่ผู้เลี้ยงนำไข่ไก่มาจำหน่ายตรง ราคาไข่ไก่ธงฟ้าจะต่ำกว่าราคาตลาดประมาณฟองละ 20-40 สตางค์ ส่วนหมูธงฟ้าดำเนินการแล้ว 43 จังหวัด 84 จุด ในราคากก.ละ 110-120 บาท หรือถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปกก.ละ 15-20 บาท ตามภาวะราคาหมูเป็นในแต่ละพื้นที่
"จากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ทำให้ไข่ไก่ราคาหน้าฟาร์มทรงตัว บางแห่งอ่อนตัวลงมาบ้าง ส่วนปริมาณไข่ไก่นั้นมีเพียงพอกับความต้องการของผู้ซื้อ ขณะที่เนื้อหมูราคาก็อ่อนตัวลงมาเช่นเดียวกัน"นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายในการดูแลสินค้าหมูและไข่ไก่ว่า หากพบฟาร์มหรือผู้ประกอบการรายใดจำหน่ายสินค้าเกินกวาราคาแนะนำตามประกาศของกรมการค้าภายใน จะให้กรมสรรพกรเข้าไปตรวจสอบรายได้และการเสียภาษีย้อนหลังของผู้ประกอบการดังกล่าวด้วย
ก่อนหน้านี้ ปัญหาเนื้อหมูมีราคาแพงได้เริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย.2554 ก่อนเทศกาลสงกรานต์ โดยในช่วงนั้นผู้เลี้ยงหมูได้ปรับขึ้นราคาขายหมูเป็น โดยอ้างว่าอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งร้อน ทั้งหนาว และฝนตก ทำให้หมูโตช้า และยังมีปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ จึงต้องปรับขึ้นราคาหมูเป็น ทำให้หมูหน้าเขียงต้องปรับราคาขึ้นตาม โดยขยับราคาจากเดิมกก.ละ 110-120 บาท มาเป็น 140-150 บาท จากนั้นกรมการค้าภายในได้เข้ามาดูแล โดยเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร เขียงหมู และผู้าค้า ได้ข้อสรุปว่าจะจัดหมูธงฟ้าเพื่อดึงราคาในตลาด แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ยังมีปัญหาราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดต้องประกาศกำหนดราคาขายดังกล่าวออกมา ขณะที่ไข่ไก่ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยราคาได้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกรมการค้าภายในต้องประกาศราคาแนะนำขาย แต่ปัญหาไข่ไก่มีราคาแพงก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลงแต่อย่างใด.
