บิ๊ก EARTH มองแนวโน้มราคาถ่านหินปีนี้สดใส เหตุราคาไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องชี้เป็นผลเกี่ยวเนื่องหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมที่ออสเตรเลียและวิกฤติการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น และจีนหันมานำเข้าแทนส่งออกทำให้ ดีมานด์พุ่ง วางเป้ายอดขายถ่านหินปีนี้แตะระดับ 1.2 ล้านตัน หรือโตขึ้น40%
นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ หรือEARTH เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจจัดจำหน่ายถ่านหินในปีนี้ว่ายังคงสดใส โดยราคาถ่านหินช่วงที่ผ่านมาไต่ระดับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 86 เหรียญต่อตัน จากต้นปีอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญต่อตัน โดยค่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 85 เหรียญต่อตัน
สาเหตุมาจาก ปริมาณความต้องการในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่ามาจาก 3 สาเหตุหลักๆ คือน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดและจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไม่สามารถที่จะขุดถ่านหินเพื่อนำออกมาจำหน่ายได้ ถัดมาคือการเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นไม่สามารถเดินเครื่องได้ แต่โรงไฟฟ้าถ่านหินยังสามารถเดินเครื่องได้ตามปกติซึ่งคาดการณ์ว่าอาจต้องทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าทดแทนกำลังการผลิตที่หายไป และประเด็นสุดท้ายคือจีนจากเดิมที่เป็นผู้ส่งออกถ่านหินขณะนี้เปลี่ยนมาเป็นผู้นำเข้าเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงทำให้ดีมานด์ถ่านหินในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ซัพพลายค่อนข้างจำกัด
“ปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ทำให้ EARTH มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก โดยปี 54 ได้วางเป้าหมายจำหน่ายถ่านหินไว้ที่ระดับ 1.2 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 40% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ที่มียอดจำหน่ายถ่านหิน 8 แสนตัน”
โดยปีนี้ EARTH ได้รุกขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นโดยบุกไปในโซนภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งขณะนี้ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วและจะเริ่มจัดส่งถ่านหินให้กับลูกค้าได้ประมาณกรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเปิดตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน บริษัทมีแผนที่จะเปิดตลาดโดยตรง
นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ หรือEARTH เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจจัดจำหน่ายถ่านหินในปีนี้ว่ายังคงสดใส โดยราคาถ่านหินช่วงที่ผ่านมาไต่ระดับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 86 เหรียญต่อตัน จากต้นปีอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญต่อตัน โดยค่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 85 เหรียญต่อตัน
สาเหตุมาจาก ปริมาณความต้องการในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่ามาจาก 3 สาเหตุหลักๆ คือน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดและจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไม่สามารถที่จะขุดถ่านหินเพื่อนำออกมาจำหน่ายได้ ถัดมาคือการเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นไม่สามารถเดินเครื่องได้ แต่โรงไฟฟ้าถ่านหินยังสามารถเดินเครื่องได้ตามปกติซึ่งคาดการณ์ว่าอาจต้องทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าทดแทนกำลังการผลิตที่หายไป และประเด็นสุดท้ายคือจีนจากเดิมที่เป็นผู้ส่งออกถ่านหินขณะนี้เปลี่ยนมาเป็นผู้นำเข้าเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงทำให้ดีมานด์ถ่านหินในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ซัพพลายค่อนข้างจำกัด
“ปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ทำให้ EARTH มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก โดยปี 54 ได้วางเป้าหมายจำหน่ายถ่านหินไว้ที่ระดับ 1.2 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 40% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ที่มียอดจำหน่ายถ่านหิน 8 แสนตัน”
โดยปีนี้ EARTH ได้รุกขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นโดยบุกไปในโซนภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งขณะนี้ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วและจะเริ่มจัดส่งถ่านหินให้กับลูกค้าได้ประมาณกรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเปิดตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน บริษัทมีแผนที่จะเปิดตลาดโดยตรง