ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.เผยปิโตรเวียดนามเสนอเงื่อนไขใหม่ โดยจะนำบริษัทร่วมทุน"เวียดนามแอลพีจี"เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) ก่อนนำเข้าตลาดหุ้นในอนาคต หวังดึงปตท.ถือหุ้นต่อไป คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ จากเดิมที่ปตท.เสนอขอซื้อหุ้นทั้งหมด หากไม่ยินยอมก็พร้อมขายหุ้นให้ปิโตรเวียดนามหรือนักลงทุนที่สนใจ
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดขายปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาซื้อหุ้นบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัดจากปิโตรเวียดนามว่า ขณะนี้ทางปิโตรเเวียดนามได้เสนอเงื่อนไขใหม่เพื่อให้ปตท.ยังคงเป็นพันธมิตรร่วมทุนในบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัด (VLPG)อยู่ โดยเสนอจดทะเบียนจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามในอนาคต
ทั้งนี้ ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเงื่อนไข และแผนการดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มให้ใหญ่ขึ้นในตลาดเวียดนาม เพื่อตัดสินใจว่าเลือกแนวทางใดในเร็วๆนี้ ซึ่งแนวทางหากนำเวียดนามแอลพีจีเข้าตลาดหุ้นในอนาคตนั้นก็มีข้อดี เนื่องจากเวียดนามแอลพีจีเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีมีกำไรสุทธิปีละ 1-2 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องมีแผนการขยายธุรกิจบรรจุและขายก๊าซหุงต้มให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่ทำตลาดก๊าซหุงต้มในครัวเรือนแถบตอนใต้ของเวียดนาม
รวมไปถึงการขยายสู่ตลาดค้าส่งก๊าซหุงต้มในโรงงานอุตสาหกรรรม และต่อยอดธุรกิจก๊าซหุงต้มด้วย ขณะเดียวกัน ปตท.อาจใช้ช่องทางดังกล่าวในการทำตลาดน้ำมันหล่อลื่นจากเดิมที่ทำตลาดน้ำมันหล่อลื่นในเวียดนามผ่านดีลเลอร์ ส่วนการเจาะตลาดค้าปลีกน้ำมันนั้น ปัจจุบันเวียดนามยังไม่ส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจนี้
ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้แจ้งไปยังปิโตรเวียดนามเพื่อขอซื้อหุ้นทั้งหมดที่ปิโตรเวียดนามถืออยู่ในบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัด จำนวน 55 % หลังสัญญาร่วมทุนระหว่างปตท.และปิโตรเวียดนามจะสิ้นสุดลงในอีก 2ปีนี้ เนื่องจากปตท.ต้องการสิทธิขาดในการบริหารงานด้านธุรกิจบรรจุและขายก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี โดยมีเป้าหมายที่จะบุกตลาดก๊าซหุงต้มในเวียดนามมากกว่าที่เป็นอยู่
หากปิโตรเวียดนามไม่ขายหุ้นดังกล่าว ทางปตท.ก็จะเสนอขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทร่วมทุนนี้ทั้งหมด 45%ให้กับปิโตรเวียดนาม หรือนักลงทุนที่สนใจ แล้วตั้งบริษัทใหม่เข้าไปดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มในเวียดนามภายใต้แบรนด์ PTT แทน เนื่องจากปตท.เล็งเห็นศักยภาพการทำตลาดค้าส่งก๊าซหุงต้มในภาคอุตสาหกรรมที่เวียดนามที่นับวันมีความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มสูงมากและปตท.มีศักยภาพด้านธุรกิจเทรดดิ้งที่ปัจจุบันต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มมาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่แล้ว
ปัจจุบัน เวียดนามแอลพีจีมีส่วนแบ่งตลาดก๊าซหุงต้มเพียง 4 %จากปริมาณการใช้รวม 9 แสนตัน ซึ่งเดิมเคยมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 10% ในช่วงที่ปตท.มีการส่งออกก๊าซหุงต้มไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันการใช้ก๊าซหุงต้มในประเทศไทยสูงมากจนต้องมีการนำเข้า ทำให้ความได้เปรียบในการทำตลาดน้อยลง
นายสรัล กล่าวต่อไปว่า ส่วนการเข้าไปประมูลซื้อหุ้นในปิโตรเวียดนาม แก๊สของรัฐบาลเวียดนามสัดส่วนหุ้น 15-20%นั้น จากการทำเข้าไปศึกษาพบว่าต้องใช้เงินลงทุนสูงหลายพันล้านบาท จึงได้ตัดสินใจถอนตัวไม่ยื่นเข้าประมูลซื้อหุ้นดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มปตท.มีแผนการลงทุนมากอยู่แล้วและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเข้าไปถือหุ้นในปิโตรเวียดนาม แก๊ส
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดขายปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาซื้อหุ้นบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัดจากปิโตรเวียดนามว่า ขณะนี้ทางปิโตรเเวียดนามได้เสนอเงื่อนไขใหม่เพื่อให้ปตท.ยังคงเป็นพันธมิตรร่วมทุนในบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัด (VLPG)อยู่ โดยเสนอจดทะเบียนจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามในอนาคต
ทั้งนี้ ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเงื่อนไข และแผนการดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มให้ใหญ่ขึ้นในตลาดเวียดนาม เพื่อตัดสินใจว่าเลือกแนวทางใดในเร็วๆนี้ ซึ่งแนวทางหากนำเวียดนามแอลพีจีเข้าตลาดหุ้นในอนาคตนั้นก็มีข้อดี เนื่องจากเวียดนามแอลพีจีเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีมีกำไรสุทธิปีละ 1-2 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องมีแผนการขยายธุรกิจบรรจุและขายก๊าซหุงต้มให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่ทำตลาดก๊าซหุงต้มในครัวเรือนแถบตอนใต้ของเวียดนาม
รวมไปถึงการขยายสู่ตลาดค้าส่งก๊าซหุงต้มในโรงงานอุตสาหกรรรม และต่อยอดธุรกิจก๊าซหุงต้มด้วย ขณะเดียวกัน ปตท.อาจใช้ช่องทางดังกล่าวในการทำตลาดน้ำมันหล่อลื่นจากเดิมที่ทำตลาดน้ำมันหล่อลื่นในเวียดนามผ่านดีลเลอร์ ส่วนการเจาะตลาดค้าปลีกน้ำมันนั้น ปัจจุบันเวียดนามยังไม่ส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจนี้
ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้แจ้งไปยังปิโตรเวียดนามเพื่อขอซื้อหุ้นทั้งหมดที่ปิโตรเวียดนามถืออยู่ในบริษัท เวียดนามแอลพีจี จำกัด จำนวน 55 % หลังสัญญาร่วมทุนระหว่างปตท.และปิโตรเวียดนามจะสิ้นสุดลงในอีก 2ปีนี้ เนื่องจากปตท.ต้องการสิทธิขาดในการบริหารงานด้านธุรกิจบรรจุและขายก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี โดยมีเป้าหมายที่จะบุกตลาดก๊าซหุงต้มในเวียดนามมากกว่าที่เป็นอยู่
หากปิโตรเวียดนามไม่ขายหุ้นดังกล่าว ทางปตท.ก็จะเสนอขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทร่วมทุนนี้ทั้งหมด 45%ให้กับปิโตรเวียดนาม หรือนักลงทุนที่สนใจ แล้วตั้งบริษัทใหม่เข้าไปดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มในเวียดนามภายใต้แบรนด์ PTT แทน เนื่องจากปตท.เล็งเห็นศักยภาพการทำตลาดค้าส่งก๊าซหุงต้มในภาคอุตสาหกรรมที่เวียดนามที่นับวันมีความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มสูงมากและปตท.มีศักยภาพด้านธุรกิจเทรดดิ้งที่ปัจจุบันต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มมาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่แล้ว
ปัจจุบัน เวียดนามแอลพีจีมีส่วนแบ่งตลาดก๊าซหุงต้มเพียง 4 %จากปริมาณการใช้รวม 9 แสนตัน ซึ่งเดิมเคยมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 10% ในช่วงที่ปตท.มีการส่งออกก๊าซหุงต้มไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันการใช้ก๊าซหุงต้มในประเทศไทยสูงมากจนต้องมีการนำเข้า ทำให้ความได้เปรียบในการทำตลาดน้อยลง
นายสรัล กล่าวต่อไปว่า ส่วนการเข้าไปประมูลซื้อหุ้นในปิโตรเวียดนาม แก๊สของรัฐบาลเวียดนามสัดส่วนหุ้น 15-20%นั้น จากการทำเข้าไปศึกษาพบว่าต้องใช้เงินลงทุนสูงหลายพันล้านบาท จึงได้ตัดสินใจถอนตัวไม่ยื่นเข้าประมูลซื้อหุ้นดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มปตท.มีแผนการลงทุนมากอยู่แล้วและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเข้าไปถือหุ้นในปิโตรเวียดนาม แก๊ส