xs
xsm
sm
md
lg

“ฟูจิ-โออิชิ” ไม่หวั่น ฝ่าวิกฤติสารกัมมันตภาพรังสีญี่ปุ่น สาวกปลาดิบยังแน่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้เหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่นทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว จะคลี่คลายไปในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม อยู่ในช่วงของการกู้สถานการณ์และฟื้นฟูประเทศ แต่ผลกระทบอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะ สารกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหลจากการระเบิดของโรงงานปรมาณูที่ฟูกุชิม่า นั้น ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างแรงเหวี่ยงต่อผู้คนทั้งในญี่ปุ่นเองและคนต่างชาติไม่น้อย
โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของอาหารญี่ปุ่นที่อาจจะมีการปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสี ที่รุนแรงต่อชีวิต ที่คนไทยหวาดหวั่น
ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบอย่างแรงและในวงกว้างต่อผู้บริโภคอย่างมาก เพราะอาหารญี่ปุ่นเป็นที่นิยมในตลาดไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดในแง่ของความเชื่อมั่นหรือจิตวิทยา ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อหันกลับมามองที่ประเทศไทย ผู้ประกอบการรร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีนับร้อยราย แต่ที่เป็นค่ายใหญ่ในลักษณะเป็นเชนหนีไม่พ้น 2 ค่ายยักษ์คือ โออิชิ และ ฟูจิ ที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง
***สองบิ๊กยันยังไม่กระทบยอดขาย
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการสายธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว และสารกัมมันตาภาพรังสีกระจายในอากาศนั้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายอาหารญี่ปุ่นของโออิชิแต่อย่างใดในภาพรวม โดยช่วงสัปดาห์แรกหลังจากข่าวสารกัมมันตภาพรังสีรั่วออกมา ยอดขายของโออิชิยังคงมีการเติบโตเฉลี่ย 8% ส่วนสัปดาห์ถัดมาก็ยังเติบโตในระดับ 10% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
ขณะที่นายไดซากุ ทานากะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิกรุ๊ป จำกัด ก็ยืนยันว่า ยอดขายรวมของร้านอาหารฟูจิในช่วงไตรมาสแรกนี้ยังเติบโตอีกประมาณ 10% ส่วนกรณีที่หลังจากมีข่าวสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมานั้น ก็มีลูกค้าเข้ามาทานต่อเนื่อง ยังมีการเข้าคิวแน่นหน้าร้านเกือบทุกสาขา โดยมีลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ย 700-800 คนต่อสาขาต่อวัน
เป็นคำยืนยันของผู้บริหารทั้งสองค่าย ที่ตอกย้ำว่า ขารกัมมันภาพรังสีที่อาจจปนเปื้อนมากับอาหารญี่ปุ่นนั้นไม่ได้ระแคะระคายอะไรกับผู้บริโภคคนไทแม้แต่น้อยเลย
แต่นี่เป็นระยะสั้น หากมีเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่านี้ ก็ยังไม่แน่
อย่างไรก็ตาม คนในวงการอาหารกล่าวให้ความเห็นว่า จริงๆแล้ว ผลกระทบด้านจิตวิทยานั้นมีแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยหรือรุนแรงมากแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งแบรนด์ของร้านอาหารนั้นด้วยที่ผู้บริโภคยังคงมีความเชื่อมั่นอยู่
“เราทำธุรกิจและสร้างชื่อเสียงฟูจิมานานกว่า 30 ปี คงจะไม่ปล่อยให้อาหารที่ไม่มีคุณภาพหรือปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีมาบริการลูกค้า แล้วทำลายเราแน่นอน เราต้องมีการตรวจสอบคุณภาพเข้มงวดกว่าช่วงปรกติด้วย” นายไดซากุ บอสใหญ่ฟูจิกรุ๊ป กล่าว
***ไร้การนำเข้าปลาดิบจากญี่ปุ่น หรือมีก็เศษเสี้ยว
ทว่า ประเด็นปัญหาใหญ่ที่หวาดกลัวกันคือ คนส่วนใหญ่คิดว่าวัตถุดิบอาหารฐี่ปุนนั้นส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นอาหารญี่ปุ่น จึงกลัวกันไปหมดว่า จะปนเปื้อนรังสี เพราะล่าสุดก็มีข่าวออกมาว่า ทางการของไทย ตรวจพบสารกัมมันตภาพรังสีในผักญี่ปุ่นชื่อ อูโด ที่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นซื้อติดตัวกลับเข้ามาในไทย จนต้องถูกสั่งทำลายไปแล้ว
“อาหารญี่ปุ่นเติบโตดี จนทำให้ สัตว์ทะเลต่างๆโดยเฉพาะปลานั้นเริ่มที่จะหายากมากขึ้น ทำให้ต้องหันไปพุ่งวัตถุดิบพวกปลาและอื่นๆจากน่านน้ำอื่นกันมนานาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนในช่วงไม่กี่ปีมานี้” อำนาจ ทานากะ รองกรรมกกาผู้จัดการฟูจิกรุ๊ป สำทับ
น่าสนใจตรงที่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทั้งโออิชิกับฟูจิ ก็ยังไม่มีการทำประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาตามสื่อต่างๆให้ประชาชนรับทราบถึงความปลอดภัยและความมั่นใจในการบริโภค เพราะทั้งคู่มองว่ายังไม่ถึงเวลาจำเป็น เพราะถ้าทำไปบางครั้งอาจจะส่งผลเสียกลายเป็นสร้างความตื่นตระหนกไปกันใหญ่
โดยฟูจิทำเพียงแค่ ส่งข่าวสารไปยังสมาชิกมากกว่า 200,000 ราย และการให้ความเชื่อมั่นผ่านหน้าร้านฟูจิเท่านั้น ด้านโออิชิเองก็เช่นกันก็ไม่ได้ตื่นตูมกับเรื่องนี้ เพราะมั่นใจในคุณภาพวัตถุดิบอย่างดี
***แค่นำเข้าผงชาเขียวจากญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ร้านอาหารฟูจินำเข้าวัตถุดิบอาหารจากต่างประเทศในสัดส่วน 70% และใช้จากในไทยอีก 30% ส่วนที่นำเข้านั้น จริงๆแล้วนำเข้ามาจากญี่ปุ่นเพียงแค่ 5% จากทั้งหมด และที่สำคัญไม่ใช่อาหารหรือปลาดิบอย่างที่เข้าใจกันด้วยซ้ำ แต่เป็นการนำเข้าผงงชาเขียวเพื่อมาผลิตบริการขายในร้านและในช่องทางโมเดิร์นเทรด
ขณะที่อาหารนั้น มีการสั่งซื้อแยกกระจายไปหลายและจากซัพพลายเออร์นับสิบรายที่ติดต่อซื้อหากัน โดยเป็นปลาดิบมากถึง 50% ส่วนใหญ่มาจากมหาสมุทรแอตแลนติด ปลาทูน่าจากชิลี อินโดนีเซีย ปลาแซลมอนจากนอร์เวย์ ชิลี สก็อตแลนด์ สาหร่ายนำข้าจากบริษัทของญี่ปุ่นที่มีฐานผลิตในสิงคโปร์และส่งตรงมาถึงไทยไม่ผ่านญี่ปุ่น เป็นต้น ส่วนที่สั่งจากโรงงานในไทยก็เช่น ซอส น้ำสลัด ไข่กุ้งแรรรู ผัก ผลไม้ เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นต้น
ส่วนเรื่องผงชาเขียวที่นำเข้มาจากญี่ปุนั้น ก็เบาใจได้เพราะว่าสั่งนำเข้ามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และยังมีสต๊อกเหลือถึงปีหน้าด้วยซ้ำ และที่สำคัญวัตถุดิบชาาที่นำเข้านี้ยังงปลูกอู่ห่างที่เกิดเหตุสารรั่วไหลมากถึง 600 กิโลเมตรด้วย้ำฟไป และยังลั งอยู่ระหว่างการเจรจาหาซัพพลายเออร์ใหม่ในไทยและจีน เพื่อทดแทนนำเข้าจากญี่ปุ่นต่อไปในอนาคต หากเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นอีก ส่วนเรื่องข้าวญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ได้นำเข้าจากี่ปุนเลย ใช้วิธีคอนแทรคฟาร์มมิ่งกับเกษตรกรของไทย ที่เชียงราย ถึงขั้นสร้างโรงสีของฟูจิเองเพื่อทำเองโดยเฉพาะ และมีแผนจะทำเป็นข้าวถุงขายในไทยและต่างประเทศด้วย
ส่วนโออิชิเองก็ประกาศชัดเจนว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเพราะไม่ได้นำเข้าจากญี่ปุ่นที่เดียว แต่มีหลายแหล่งเช่นกัน ไม่ว่าจะมาจาก เกาหลี ไต้หวัน อินโดนีเซีย ประเทศในทวีปอเมริกากลางและใต้ เป็นต้น ซึ่งโออิชิเองใช้ปลาแซลมอนมากกว่า 70 ตันต่อเดือน ก็นำเข้ามาจากชิลีและนอร์เวย์เป็นหลัก ปลาหิมะนำเข้าจากแอฟริกาใต้ ปลาทูนาจากอินโดนีเซีย
***เดินหน้าผุดสาขาต่อเนื่องรับสาวกปลาดิบ
สองค่ายยักษ์เช่นร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าต่อเนื่องในการขยายสาขาใหม่ๆไม่ลดละ
นายไพศาล ของโออิชิ วางแผนที่จะใช้งบประมาณปีนี้รวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบตลาด 200 ล้านบาท ซึ่งแคมเปยญล่าสุดบที่เพิ่งออกมก่อนหน้าเหตุการณ์คือ “เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดีกว่า อร่อยแน่ของแท้ต้องอาทิตย์อุทัย“ โดยเสนอ 4 ความอร่อย 4 ตำรับคือ นาเบะ สูตรดั้งเดิมเพิ่มคอลลาเจน วันที่ 1 ก.พ. – 30 เม.ย. ศกนี้ รวมทั้งการเปิดตัวหนังโฆษณา 4 เรื่อง
ส่วนงบอีก 300 ล้านบาท จะใช้ขยายสาขาใหม่ๆ เพิ่มอีก 30 สาขาในปีนี้ กระจายไปในหลายแบรนด์ และเน้นเปิดสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้สัดส่วนเพิ่มเป็น 20% จากขณะนี้มี 10% ของสาขาทั้งหมด เพราะคนต่างจังหวัดก็มีความต้องการมากเช่นกัน โดยปัจจุบันโออิชิมีสาขาทุกแบรนด์รวมกัน 113 แห่ง
โออิชิตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 11,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร 5,000 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีที่แล้วที่กลุ่มอาหารมีรายได้ 4,100 ล้านบาท เติบโต 24% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 17%
ทางด้านของฟูจินั้นก็เช่นกัน ไม่ชะลอแผนการลงทุนขยายาสาขาใหม่ มิหนำซ้ำยังเป็นปีที่ขยายสาขามากกว่าปีก่อนๆด้วยซ้ำไป
โดยวางเป้าหมายเปิดเพิ่มปีนี้จำนวน 12 สาขา ซึ่งปีที่แล้วเปิดใหม่เพียง 10 สาขา โดยปีนี้เปิดไปแล้ว 3 สาขาที่ เทสโก้โลตัสหาดใหญ่ เซ็นทรัลเชียงราย และที่โครงการอะมอรินี่รามอินทรา ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสาขาละ 20 ล้านบาท รวมปีนี้คงต้องใช้งบลงทุนรวมกว่า 240 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันนี้มีสาขาเปิดบริการรวม 72 สาขา
ส่วนรายได้ของฟูจิปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นกลุ่มร้านอาหาร 5,000 ล้านบาท และกลุ่มเครื่องดื่มชาเขียวฟูจิชะ 1,000 ล้านบาท ่
กำลังโหลดความคิดเห็น