ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของนายทหารที่หาได้ยากคนหนึ่งที่พลีไปเมื่อวันที่ 10 เมษายนของปีที่แล้วไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้มากนัก รัฐบาลนี้และระบอบการเมืองปัจจุบันอาจจะชนะศึกได้ในอีกเกือบ 2 เดือนถัดมา แต่หากไม่หลอกตัวเองก็คงต้องยอมรับว่ายากจะชนะสงคราม
สงครามเปลี่ยนระบอบ!
ภรรยาของนายทหารท่านนี้จึงยังคงแต่งกายไว้ทุกข์ให้สามีอยู่จนถึงวันนี้ และไม่มีใครรู้ว่าจะต้องอยู่ในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด เพราะการกระทำของเธอมิใช่เพียงเพื่อแสดงความเศร้าโศกเสียใจในฐานะปัจเจก แต่เพื่อแสดงสัญลักษณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อบ้านเมือง
“ดิฉันยังคงไว้ทุกข์ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความเศร้าโศกเสียใจให้ใครเห็น ความรู้สึกเป็นเรื่องที่อยู่ภายในไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับรู้ โดยตั้งใจจะใส่ชุดดำไว้ทุกข์จนกว่าบ้านเมืองจะสงบสุข ด้วยเจตนาคืออยากให้เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่งเตือนสติสังคมไทยหรือใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ระลึกได้บ้างถึงความสูญเสีย และช่วยกันรักษาบ้านเมืองอย่าให้ต้องมีใครตายอีก ให้ดิฉันไว้ทุกข์เพียงคนเดียวก็พอ อย่าต้องมีใครมาไว้ทุกข์เพิ่มขึ้น....”
คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ให้สัมภาษณ์นสพ.มติชนรายวันไว้เมื่อสองสามวันก่อน
“...ไม่รู้จะเรียกร้องจากใคร เพราะสิ่งที่ต้องการที่สุดคือชีวิตของพี่ร่มเกล้า แต่คงไม่มีใครให้ได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากเรียกร้องก็คือ อย่าให้ใครตายด้วยเหตุการณ์แบบนี้อีก ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ต่างออกมาทำตามหน้าที่เพื่อรักษาความสงบให้สังคมกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่มีใครอยากออกมายุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายทางการเมือง ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีครอบครัวที่รักรอคอย รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เขาไม่ได้สมัครใจที่จะเดินเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ทางการเมืองนี้ แต่กลับต้องถูกลูกหลงจนบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต และผู้สูญเสียเหล่านี้ก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรจากใคร”
ท่านอาจารย์วัชรี ธุวธรรม เคยเล่าให้ผมฟังว่า “เสธ.เปา” ของเพื่อนๆ และลูกน้องหรือ “ลูกก้อง” ของท่าน จะโทรศัพท์มารายงานเหตุการณ์สำคัญๆ ให้ท่านฟังเสมอๆ ยามออกปฏิบัติการในพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดงเมื่อเมษายน 2552 ที่ต่างๆ เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ภาคใต้ก่อนหน้านั้น และล่าสุดที่ลาดหลุมแก้ว ราชดำเนิน และสี่แยกคอกวัว ตลอดวันที่ 10 เมษายน 2553
ก่อนหน้านั้นในตอนกลางวัน เสียงของลูกก้องดูร่าเริง ปีติ ทำนองว่าฟ้าสว่างเหลือเกินคุณแม่ ภารกิจน่าจะลุล่วงไปด้วยดี ทำเอาคุณแม่พลอยปลื้มไปด้วยก่อนจะโทรศัพท์ไปบอกเล่าต่อกับน้องสาวที่เป็นน้าของลูกก้องอันเป็นภารกิจที่กระทำมาสม่ำเสมอของครอบครัวที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดกับครอบครัวนี้
นั่นเป็นช่วงที่ปฏิบัติการยังดูราบรื่น เสธ.เปาวัย 43 ไม่รู้หรอกว่าตัวเขาและกองกำลังทหารเสือราชินีจากพล. 2 รอ., พล. 9 รอ. และพล.ม. 2 ถูกล่อถูกหลอกออกจากที่ตั้งในกองทัพภาคที่ 1 มาประสบชัยชนะโดยลำดับที่แยกมิสกวัน สะพานมัฆวานรังสรรค์ และแยกวิสุทธิกษัตริย์ ในช่วงบ่าย ให้เข้ามาสู่ดงสังหารจุดอับบริเวณสี่แยกคอกวัวในช่วงหัวค่ำ จากผู้ชำนาญการในการรบนอกแบบ ที่รู้ข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติการของฝ่ายรัฐแทบทุกฝีก้าว
ท่านอาจารย์วัชรี ธุวธรรม หนาววูบจับขั้วหัวใจเมื่อจับสัญญาณความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของลูกรักที่ท่านรู้จักดีผ่านโทรศัพท์ ไม่เคยมีน้ำเสียงแบบมานี้มาก่อน สิ่งที่แม่ผู้เข้มแข็งคนหนึ่งจะทำได้ ณ นาทีนั้นคือต้องไม่แสดงความตกใจให้ลูกได้ยิน มีแต่การให้กำลังใจ และกำลังใจที่ดีที่สุดที่จะให้ได้คือให้ลูกก้องของท่านระลึกถึงสิ่งที่เขาเชื่อมั่นศรัทธาสูงสุด
“ขอให้ลูกระลึกถึงพระบารมีในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง....
“ขอให้ลูกระลึกถึงพระบารมีในพระบุรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตัดสินใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลูกทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองอย่างดีที่สุดแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ...”
ที่ท่านให้คำแนะนำลูกก้องเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าในหัวใจของนายทหารเสือราชินีคนนี้คือการทำหน้าที่เพื่อพิทักษ์ชาติและราชบัลลังก์ เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีสูงสุด แม้แต่ชีวิตของตนเองก็พร้อมยอมสละแลกมาได้ซึ่งความมั่นคงสถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระสุขภาพพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงพระประชวรใหม่ๆ คุณแม่วัชรีจำได้ว่านอกจากไปลงนามถวายพระพรและอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงหายประชวรและมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรกดังเดิมเหมือนเช่นคนทั่วไปแล้ว ลูกก้องของท่านยังตั้งจิตอธิษฐานเพิ่มอีก
“ลูกก้องตั้งจิตอธิษฐานในวันนั้นว่า ยินดีสละชีวิตที่ยืนยาวมา 43 ปีถวายแด่พระองค์ท่าน หากสามารถแลกให้พระองค์มีพระชนมายุยืนนาน มีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของชาติสืบไป ลูกก้องยินดีเสียสละชีวิต 43 ปี”
นี่คือพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรมที่น้อยคนจะได้รู้
นี่คือพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรมที่หากมัจจุราชในคราบคนชุดดำไม่คร่าชีวิตไปเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จะมีโอกาสฉลองวันเกิดครบ 44 ปีเต็มในวันที่ 23 เมษายน 2553
ณ วินาทีสังหารนั้น ทหารหาญในปฏิบัติการทุกคนรู้ดีว่าเหล่าผู้บังคับบัญชากำลังปรึกษาหารือวางแผนถอยอย่างเป็นระบบ เพราะรู้ว่าเดินหน้าต่อไปไม่ได้ การปรึกษาหารือทำให้นายทหารระดับผู้บังคับบัญชามารวมกันเป็นกลุ่ม ตกเป็นเป้าของคนชุดดำ มีการชี้เป้าโดยพ้อยเตอร์แสงเลเซอร์สีเขียว และแสงเลเซอร์สีแดงที่ติดอยู่ปลายกระบอกปืน มีระเบิดควันนำทางเพื่อความแม่นยำของระเบิดสังหารที่จะตามมา
คนชุดดำที่ออกมาจากรถตู้ในช่วงควันแก๊สน้ำตาคละคลุ้งอยู่นั้น ดูเหมือนจะรู้ว่าทหารเสือราชินีขบวนนี้กำลังเสียขบวน และกำลังจะถอย
หากไม่จงใจเข่นฆ่าเพื่อแสดง “สัญลักษณ์” หลายชั้น ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องขว้างระเบิดสังหารเข้ามากลางวงเช่นนั้น
ผมเคยมองนี่คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
ผมเคยมองว่าหนึ่งชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมคือจุดเปลี่ยนของสถานการณ์
เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีการรบครั้งใดที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพจะบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในคราวเดียวกันมากเท่าครั้งนี้ และไม่เคยมีการรบครั้งใดที่นายทหารใหญ่น้อยทยอยถูกหามเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ากว่า 200 คนในชั่วระยะเวลา 3 ชั่วโมงเท่าครั้งนี้
ผงยังคงมองเช่นนั้น แต่ก็อย่างที่เขียนไว้ตอนต้นแหละครับว่าก็แค่ทำให้รัฐบาลและระบอบปัจจุบันชนะศึกอย่างทุลักทุเลในอีกเกือบ 2 เดือนถัดมา
แต่ยังไม่ชนะสงครามเปลี่ยนระบอบหรอก
หากรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้าและระบอบปัจจุบันยังคงไม่เข้าใจว่านี่คือสงครามเปลี่ยนระบอบแห่งยุคสมัย ไม่เข้าใจว่าจะรับมือกับสงครามนี้ด้วยวิธีการเดิมๆ มาตรการเก่าๆ และไม่ยอมช่วงชิงเป็นฝ่ายปรับระบอบเปลี่ยนแปลงตัวเองในกรอบที่ตนยังควบคุมได้เสียก่อน ก็ไม่มีทางจะชนะสงครามนี้ได้
และไม่เพียงคุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรมจะไม่อาจถอดเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ได้
ยังอาจจะมีคนไทยอีกไม่น้อยที่ต้องทำอย่างเธอ!
สงครามเปลี่ยนระบอบ!
ภรรยาของนายทหารท่านนี้จึงยังคงแต่งกายไว้ทุกข์ให้สามีอยู่จนถึงวันนี้ และไม่มีใครรู้ว่าจะต้องอยู่ในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด เพราะการกระทำของเธอมิใช่เพียงเพื่อแสดงความเศร้าโศกเสียใจในฐานะปัจเจก แต่เพื่อแสดงสัญลักษณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อบ้านเมือง
“ดิฉันยังคงไว้ทุกข์ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความเศร้าโศกเสียใจให้ใครเห็น ความรู้สึกเป็นเรื่องที่อยู่ภายในไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับรู้ โดยตั้งใจจะใส่ชุดดำไว้ทุกข์จนกว่าบ้านเมืองจะสงบสุข ด้วยเจตนาคืออยากให้เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่งเตือนสติสังคมไทยหรือใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ระลึกได้บ้างถึงความสูญเสีย และช่วยกันรักษาบ้านเมืองอย่าให้ต้องมีใครตายอีก ให้ดิฉันไว้ทุกข์เพียงคนเดียวก็พอ อย่าต้องมีใครมาไว้ทุกข์เพิ่มขึ้น....”
คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ให้สัมภาษณ์นสพ.มติชนรายวันไว้เมื่อสองสามวันก่อน
“...ไม่รู้จะเรียกร้องจากใคร เพราะสิ่งที่ต้องการที่สุดคือชีวิตของพี่ร่มเกล้า แต่คงไม่มีใครให้ได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากเรียกร้องก็คือ อย่าให้ใครตายด้วยเหตุการณ์แบบนี้อีก ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ต่างออกมาทำตามหน้าที่เพื่อรักษาความสงบให้สังคมกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่มีใครอยากออกมายุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายทางการเมือง ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีครอบครัวที่รักรอคอย รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เขาไม่ได้สมัครใจที่จะเดินเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ทางการเมืองนี้ แต่กลับต้องถูกลูกหลงจนบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต และผู้สูญเสียเหล่านี้ก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรจากใคร”
ท่านอาจารย์วัชรี ธุวธรรม เคยเล่าให้ผมฟังว่า “เสธ.เปา” ของเพื่อนๆ และลูกน้องหรือ “ลูกก้อง” ของท่าน จะโทรศัพท์มารายงานเหตุการณ์สำคัญๆ ให้ท่านฟังเสมอๆ ยามออกปฏิบัติการในพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดงเมื่อเมษายน 2552 ที่ต่างๆ เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ภาคใต้ก่อนหน้านั้น และล่าสุดที่ลาดหลุมแก้ว ราชดำเนิน และสี่แยกคอกวัว ตลอดวันที่ 10 เมษายน 2553
ก่อนหน้านั้นในตอนกลางวัน เสียงของลูกก้องดูร่าเริง ปีติ ทำนองว่าฟ้าสว่างเหลือเกินคุณแม่ ภารกิจน่าจะลุล่วงไปด้วยดี ทำเอาคุณแม่พลอยปลื้มไปด้วยก่อนจะโทรศัพท์ไปบอกเล่าต่อกับน้องสาวที่เป็นน้าของลูกก้องอันเป็นภารกิจที่กระทำมาสม่ำเสมอของครอบครัวที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดกับครอบครัวนี้
นั่นเป็นช่วงที่ปฏิบัติการยังดูราบรื่น เสธ.เปาวัย 43 ไม่รู้หรอกว่าตัวเขาและกองกำลังทหารเสือราชินีจากพล. 2 รอ., พล. 9 รอ. และพล.ม. 2 ถูกล่อถูกหลอกออกจากที่ตั้งในกองทัพภาคที่ 1 มาประสบชัยชนะโดยลำดับที่แยกมิสกวัน สะพานมัฆวานรังสรรค์ และแยกวิสุทธิกษัตริย์ ในช่วงบ่าย ให้เข้ามาสู่ดงสังหารจุดอับบริเวณสี่แยกคอกวัวในช่วงหัวค่ำ จากผู้ชำนาญการในการรบนอกแบบ ที่รู้ข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติการของฝ่ายรัฐแทบทุกฝีก้าว
ท่านอาจารย์วัชรี ธุวธรรม หนาววูบจับขั้วหัวใจเมื่อจับสัญญาณความไม่มั่นใจในสถานการณ์ของลูกรักที่ท่านรู้จักดีผ่านโทรศัพท์ ไม่เคยมีน้ำเสียงแบบมานี้มาก่อน สิ่งที่แม่ผู้เข้มแข็งคนหนึ่งจะทำได้ ณ นาทีนั้นคือต้องไม่แสดงความตกใจให้ลูกได้ยิน มีแต่การให้กำลังใจ และกำลังใจที่ดีที่สุดที่จะให้ได้คือให้ลูกก้องของท่านระลึกถึงสิ่งที่เขาเชื่อมั่นศรัทธาสูงสุด
“ขอให้ลูกระลึกถึงพระบารมีในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง....
“ขอให้ลูกระลึกถึงพระบารมีในพระบุรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตัดสินใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลูกทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองอย่างดีที่สุดแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ...”
ที่ท่านให้คำแนะนำลูกก้องเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าในหัวใจของนายทหารเสือราชินีคนนี้คือการทำหน้าที่เพื่อพิทักษ์ชาติและราชบัลลังก์ เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีสูงสุด แม้แต่ชีวิตของตนเองก็พร้อมยอมสละแลกมาได้ซึ่งความมั่นคงสถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระสุขภาพพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงพระประชวรใหม่ๆ คุณแม่วัชรีจำได้ว่านอกจากไปลงนามถวายพระพรและอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงหายประชวรและมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรกดังเดิมเหมือนเช่นคนทั่วไปแล้ว ลูกก้องของท่านยังตั้งจิตอธิษฐานเพิ่มอีก
“ลูกก้องตั้งจิตอธิษฐานในวันนั้นว่า ยินดีสละชีวิตที่ยืนยาวมา 43 ปีถวายแด่พระองค์ท่าน หากสามารถแลกให้พระองค์มีพระชนมายุยืนนาน มีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของชาติสืบไป ลูกก้องยินดีเสียสละชีวิต 43 ปี”
นี่คือพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรมที่น้อยคนจะได้รู้
นี่คือพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรมที่หากมัจจุราชในคราบคนชุดดำไม่คร่าชีวิตไปเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จะมีโอกาสฉลองวันเกิดครบ 44 ปีเต็มในวันที่ 23 เมษายน 2553
ณ วินาทีสังหารนั้น ทหารหาญในปฏิบัติการทุกคนรู้ดีว่าเหล่าผู้บังคับบัญชากำลังปรึกษาหารือวางแผนถอยอย่างเป็นระบบ เพราะรู้ว่าเดินหน้าต่อไปไม่ได้ การปรึกษาหารือทำให้นายทหารระดับผู้บังคับบัญชามารวมกันเป็นกลุ่ม ตกเป็นเป้าของคนชุดดำ มีการชี้เป้าโดยพ้อยเตอร์แสงเลเซอร์สีเขียว และแสงเลเซอร์สีแดงที่ติดอยู่ปลายกระบอกปืน มีระเบิดควันนำทางเพื่อความแม่นยำของระเบิดสังหารที่จะตามมา
คนชุดดำที่ออกมาจากรถตู้ในช่วงควันแก๊สน้ำตาคละคลุ้งอยู่นั้น ดูเหมือนจะรู้ว่าทหารเสือราชินีขบวนนี้กำลังเสียขบวน และกำลังจะถอย
หากไม่จงใจเข่นฆ่าเพื่อแสดง “สัญลักษณ์” หลายชั้น ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องขว้างระเบิดสังหารเข้ามากลางวงเช่นนั้น
ผมเคยมองนี่คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
ผมเคยมองว่าหนึ่งชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมคือจุดเปลี่ยนของสถานการณ์
เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีการรบครั้งใดที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพจะบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในคราวเดียวกันมากเท่าครั้งนี้ และไม่เคยมีการรบครั้งใดที่นายทหารใหญ่น้อยทยอยถูกหามเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ากว่า 200 คนในชั่วระยะเวลา 3 ชั่วโมงเท่าครั้งนี้
ผงยังคงมองเช่นนั้น แต่ก็อย่างที่เขียนไว้ตอนต้นแหละครับว่าก็แค่ทำให้รัฐบาลและระบอบปัจจุบันชนะศึกอย่างทุลักทุเลในอีกเกือบ 2 เดือนถัดมา
แต่ยังไม่ชนะสงครามเปลี่ยนระบอบหรอก
หากรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้าและระบอบปัจจุบันยังคงไม่เข้าใจว่านี่คือสงครามเปลี่ยนระบอบแห่งยุคสมัย ไม่เข้าใจว่าจะรับมือกับสงครามนี้ด้วยวิธีการเดิมๆ มาตรการเก่าๆ และไม่ยอมช่วงชิงเป็นฝ่ายปรับระบอบเปลี่ยนแปลงตัวเองในกรอบที่ตนยังควบคุมได้เสียก่อน ก็ไม่มีทางจะชนะสงครามนี้ได้
และไม่เพียงคุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรมจะไม่อาจถอดเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ได้
ยังอาจจะมีคนไทยอีกไม่น้อยที่ต้องทำอย่างเธอ!