xs
xsm
sm
md
lg

กาลเวลาที่เปลี่ยนไป!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขียนกรณี “ประเทศลิเบีย” ที่ส่งสัญญาณแนวโน้มว่า “จบแน่!” แต่เป็นการจบแบบพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ต้องลงจาก “บัลลังก์อำนาจ” อย่างแน่นอน เนื่องด้วย “กองกำลังพันธมิตร” ถล่มเฉพาะประเทศลิเบียแห่งเดียว ที่มีทั้งกองกำลังต่อต้านและสนับสนุน พ.อ.กัดดาฟี

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในชาติอาหรับตะวันออกกลางดูแนวโน้มแล้ว “บานปลาย” อย่างแน่นอน แถมลามลงมาทางใต้ที่ “ประเทศไอวอรี่ โคสต์ (Ivory Coast)” อีกต่างหาก ทั้งนี้ที่ไอวอรี่ โคสต์ นั้น สถานการณ์ได้เกิดขึ้นช่วงปี 2002-2003 ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่า ยังไม่ลุกลามากมายเพียงนี้

จริงๆ แล้วสัปดาห์นี้ ตั้งใจว่าจะเขียนถึง “ประเทศญี่ปุ่น” ที่บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย เหตุผลเพราะ “เตาพลังงานนิวเคลียร์” ยังไม่สงบนิ่ง “กัมมันตภาพรังสี” ยังคงรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของชาวอาทิตย์อุทัยไปอีกยาวนาน ว่าไปแล้วน่าจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูประเทศไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี กันเลยทีเดียว

เหตุการณ์ในญี่ปุ่นครั้งนี้ น่าจะเลวร้ายพอๆ กับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกอเมริกันถล่มเมืองนางาซากิกับเมืองฮิโรชิมา ด้วยระเบิดปรมาณู ทุกวันนี้ยังมีชาวญี่ปุ่นที่คงติดค้างอยู่กับสารกัมมันตภาพรังสีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ที่รูปร่างหน้าตาผิดมนุษย์

ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ที่ด้านชาติอาหรับตะวันออกกลางและกลุ่มบางประเทศที่แอฟริกาเหนือ ยังคงลามบานปลายออกไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ประเทศตูนีเซีย อียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย จอร์แดน บาห์เรน และเยเมน จนน่าเชื่อว่า “ต้องมีการเปลี่ยนแปลง” ด้าน “การเมือง-การปกครอง” อย่างยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญที่สุด ตลอดจนเปลี่ยนวิธีการคิดของชาวตะวันออกกลางอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี

ประเด็นสำคัญ คือ “ความยุติธรรม” บวกกับ “ความเหลื่อมล้ำ” ทางสังคมที่แต่ละประเทศนั้น มีความแตกต่างกันมากทางด้านสถานภาพทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ความยากจน” ของคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี แต่หางานทำไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ “ชนชั้นผู้นำ” ที่ยึดครอง “อำนาจ-ผลประโยชน์” มาอย่างยาวนาน ด้วยแน่นอน “การทุจริตคอร์รัปชัน” จึงก่อให้เกิดความแตกต่างด้านชีวิตความเป็นอยู่

เมื่อราว 20-30 ปี ก่อนหน้านั้น “คนรุ่นเก่า” ยังคงจำกันได้ถึง “ความบุกเบิก” ของ “อดีตผู้นำ” ที่รุ่งเรืองในอดีต แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ “บุญคุณ” ที่มีต่อประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฮอสนี มูบารัค ปกครองอิยิปต์มายาวนาน 30 กว่าปี

และโดยเฉพาะ พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ที่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ พร้อมยึดอำนาจยาวนานถึง 42 ปี จนคนรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจหรือลืมอดีตไปหมดแล้ว ตลอดจนการติดต่อสื่อสารทาสังคม-เว็บไซต์ ยุคโลกไซเบอร์ ที่เมื่อใครมีอำนาจยาวนาน ย่อมเก็บสะสมจากการเสวยสุขบนอำนาจด้วยผลประโยชน์ จนลืมอดีตของตนเอง แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ “ลืมประชาชนยากไร้!”

คำถามสำคัญที่ต้องถามกลุ่มชาติอาหรับที่เกิดการจลาจล จนเลยเถิดไปถึงการประท้วงและขับไล่รัฐบาล ว่าจริงๆ แล้ว “การสร้างความยุติธรรม” ตลอดจน “ความร่ำรวยเท่าเทียม” กันนั้น ไม่น่าจะใช้ระยะเวลาเพียง 1-2 ปี เท่านั้น น่าจะต้องใช้เวลาที่ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ขึ้นไป ที่คนรุ่นใหม่อาจจะใจร้อน และที่สำคัญคือ “ปฏิเสธอดีต” ของผู้นำตนเองที่อยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน

“การบริหารจัดการทรัพยากร” ต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมนั้น คงต้องใช้ “มืออาชีพ” ที่มีความชำนาญการใน “การปกครอง” และ “การบริหารจัดการ” ที่ต้องดูปัจจัยขององค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ทุกด้าน โดยเฉพาะสังคม การเมือง เศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญคือ สภาพความเป็นจริงของสังคมอาหรับนั้น “ถูกปกปิด-ถูกกดดัน” มาอย่างยาวนาน จนในที่สุด “เยาวชนคนรุ่นใหม่” ต่างปฏิเสธอดีตด้วยความยากจนบวกกับความไม่รู้ไม่เห็นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตต่างๆ อย่างมากมาย

ขอย้ำอีกครั้งว่า “การสูญเสีย” ทั้งทรัพยากร บ้านเมือง ผู้คนเสียชีวิตต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟู ความช่วยเหลือจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหประชาชาติ (United Nations)” ที่ต้องระดมกันเข้ามาร่วมมือแก้ไขสารพันปัญหาที่สุมทุมมาอย่างยาวนาน

เพียงแต่ว่า กลุ่มสมาชิกสหประชาชาติที่เป็น “พี่เบิ้ม” ทั้งหลาย อันประกอบไปด้วย “สหรัฐอเมริกา-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-จีน” ที่มีสถานะค่อนข้างมั่นคง ต้องทุ่มเทจำนวนเงินมหาศาลกับการรื้อฟื้นประเทศเหล่านี้ใหม่ ซึ่งต้องถามว่า จำนวนเงินเท่าใด ถึงจะฟื้นฟูกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้ ตลอดจน “ความเท่าเทียม” กันจะเกิดจริงหรือไม่ นั่นแหละคือคำถามสำคัญ!

เราชักเริ่มไม่แน่ใจว่า โลกที่เราอยู่ใบนี้ เกิดอะไรขึ้น ทั้ง “ภัยธรรมชาติ” และ “ภัยพลเมือง” ที่อาจจะเป็นไปได้ว่า “โลกแตก 2012” ตามภาพยนต์ที่เราได้ดูกันหรือไม่ หรือว่า “การเปลี่ยนแปลง” ครั้งสำคัญนี้ ก่อให้เกิด “ความเสมอภาค-ความเท่าเทียม” และที่สำคัญคือ “การสร้างชาติ” กันใหม่หมด ทั้งด้านตะวันออกกลางและเอเชียที่ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นนั้น เข้าใจว่าประชากรสูญเสียไปประมาณนับหลายแสนราย ปริมาณค่าเสียหายคิดเป็นจำนวนเงินราวๆ 250,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700,000 ล้านล้านบาท ตลอดจนการสร้างพลังงานใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงว่า “พลังงานนิวเคลียร์” นั้น ปลอดภัยหรือไม่อย่างไร?

“อะไรเกิดขึ้นกับโลกใบนี้!” เรากำลังเดินหน้าสู่ปี 2012 ที่มีการทำนายว่า “โลกแตก!” ตามลัทธิมายันหรือมายาที่ “แกนโลก” เปลี่ยน “ภัยธรรมชาติ” เป็นกรณีที่ไม่มีใครคาดการณ์และหยุดมันได้ อย่าว่าแต่ “ภัยธรรมชาติ” เลย แม้แต่ “ภัยพลเมือง” ที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่ขณะนี้ ที่ชาติอาหรับนั้น ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เงินและเวลามากมายเพียงใด ในการก่อให้เกิด “การเปลี่ยนแปลง” สู่ทิศทางที่พึงประสงค์ได้!
กำลังโหลดความคิดเห็น