ASTVผู้จัดการรายวัน - ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ ประทานสัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการทีวีเมื่อคืนที่ผ่านมา ตรัสที่ผ่านมามีข่าวลือมากมายที่สำคัญคือต้องรู้จักพิจารณา ตรัสเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินใช่สุขสบายเหมือนนิทาน พร้อมทรงหวังพระบิดา-มารดาจะได้รับความยุติธรรมตามที่ควรจะได้
เมื่อเวลาประมาณ 22.20 น. คืนวันอาทิตย์ 3 เมษายนที่ผ่านมา ในรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงประทานพระวโรกาสให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการโดยทรงตรัสว่า..."อยากให้คนที่ติดตามชมรายการได้รู้จักตัวตนของฉันอย่างแท้จริง ไม่อยากให้ไปฟังข่าวลือ หรือข่าวที่พูดๆ กันไป ณ วันนี้ คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่มีบิดเบือน”
พระราชธิดาพระองค์เล็กใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเผยว่า ที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวลือออกมามากมาย ที่สำคัญคือเราจะต้องรู้จักพิจารณา หากผิดจริงก็ต้องแก้ไข หากเป็นเรื่องไม่จริงก็ต้องปล่อยวาง
"15 ปีที่ผ่านมา เป็นเด็กวัด กินนอน ทำสมาธิอยู่ในกุฏิเล็กๆ ที่วัด กับหลวงตามหาบัว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเด็กวัด แม้ว่าหลวงตาปลงสังขารไปแล้ว มีกระแสข่าวมากมาย มีคำกล่าวว่ามากมาย มันย่อมมีผลกระทบกับชีวิตคนเราแน่นอน แต่อยากให้มองย้อนกลับไปพิจารณาคำนินทาว่ากล่าวนั้นว่าตรงกับตัวเราหรือไม่"
"ถ้ามันเป็นจริงเราก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองเสียก่อน แต่ถ้าไม่ตรงกับเรา ต้องปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ทันที หลวงตาท่านสอนไว้ ตอนแรกเริ่มจะทำยากมาก แต่ก็พยายามสงบจิตใจและนึกถึงคำสอนของหลวงตา กำหนดลมหายใจ ทุกวันนี้สามารถทำได้อย่างสบายใจและสงบ เรื่องในอดีตให้มันผ่านไป อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปฟุ้งซ่านคาดเดา ให้อยู่กับปัจจุบัน อยากให้อยู่กับปัจจุบัน”
“เวลาที่เหงาหรือเครียดก็มีคุยหรือระบายกับลูกหมี (สุนัขทรงเลี้ยง) บ้าง ลูกหมีเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษาคน เพราะเขาอยู่กับคนมากเขาจะฉลาด เวลาที่มีอะไรมากระทบจิตใจไม่ว่าใครจะพูดอะไร มีข่าวอะไรทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี หลักใหญ่ๆ คือ จิตใจ ทุกอย่างสำคัญที่ใจ เมื่อใจเราคิดดี มีใจเป็นประธานแล้ว ทุกอย่างที่เราคิดก็จะออกมาดีเอง ก่อนที่หลวงตาจะปลงสังขาร ท่านสั่งเอาไว้ว่าอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ ให้เข้มแข็ง ฉันก็จะไม่ร้องไห้ แม้กระทั่งวันที่ท่านปลงสังขารฉันก็ยังนิ่ง มีแค่เกือบๆ จะร้อง ฉันคิดว่าหลวงตาท่านมาโปรดฉันจริงๆ”
“เวลาส่วนตัวของฉันจริงๆ คือช่วงที่ไปอยู่วัด เป็นช่วงที่สงบสุขทั้งกายและใจ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เคยว้าเหว่เหมือนกันช่วงที่หลวงตาปลงสังขารไปใหม่ๆ ก็จะเอาดีวีดีคำสอนของท่านมาเปิดดู อ่านหนังสือของท่าน "หยดน้ำในใบบัว" หลวงตาท่านสอนว่า ให้เก็บพ่อไว้ในใจ แล้วท่านจะอยู่กับทูลกระหม่อมลูกตลอดไป (หลวงตาเรียกฟ้าหญิงว่าทูลกระหม่อมลูก) ฉันอยากไปอยู่วัด แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตร เพราะเกรงว่าฉันจะหลุดไปจากโลกปัจจุบันนี้”
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ ทรงตรัสต่อไปด้วยว่า การเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีหาได้สุขสบายเหมือนในนิทาน เพราะต้องทรงงานตั้งแต่ยังพระเยาว์ พร้อมทรงเผยว่าทุกวันนี้พระบิดาและพระมารดาก็ยังคงตรากตรำทรงงานอยู่ ซึ่งก็หวังว่าทั้งสองพระองค์จะทรงได้รับความยุติธรรมตามที่ควรจะได้
“หลังจากที่ผ่าตัดแล้วต้องพักถึง 3 เดือน แต่นี่ก็เลยช่วง 3 เดือนมาแล้ว ยังเดินไม่ค่อยสะดวก แต่ก็ยังต้องทำงาน เพราะช่วงที่พักฟื้น พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ท่านเสด็จฯ ไปเยี่ยมเอง จนทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องรีบหาย ต้องรีบแข็งแรง ตั้งใจที่จะหายและสามารถเดินได้ทำงานได้ปกติ มาถวายงานท่านทั้ง 2 พระองค์ให้ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ดูงานคณะแพทย์ พอ.สว. ก็จะต้องเข้าไปรายงานความคืบหน้าให้ทั้ง 2 พระองค์ได้ทราบด้วย งานในส่วนของสถาบันวิจัยกับงานโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ก็ยังดำเนินต่อไป เมื่อมีปัญหา หรือมีเรื่องที่ต้องปรึกษาร่วมกับคณะก็ต้องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
“การเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี มีหน้าที่มากมาย ไม่ได้สุขสบายอย่างที่หลายคนคิดหรือนึกภาพตามจินตนาการนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย ชีวิตถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ต้องทำงานตั้งแต่อายุ 14 จนถึงเรียนจบปริญญาเอก ทุกวันนี้พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ท่านยังทรงงาน แม้ว่าจะมีอาการเจ็บป่วย เห็นท่านตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนของท่านมาตั้งแต่เด็กๆ เดินทางไปในแหล่งที่ไม่มีแม้กระทั่งถนน ช่วยเหลือประชาชน เด็กยุคใหม่ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง”
“ใจจริงของฉัน อยากจะขอเวลาจากรายการทีวีช่วงสั้นๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ”.
เมื่อเวลาประมาณ 22.20 น. คืนวันอาทิตย์ 3 เมษายนที่ผ่านมา ในรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงประทานพระวโรกาสให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการโดยทรงตรัสว่า..."อยากให้คนที่ติดตามชมรายการได้รู้จักตัวตนของฉันอย่างแท้จริง ไม่อยากให้ไปฟังข่าวลือ หรือข่าวที่พูดๆ กันไป ณ วันนี้ คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่มีบิดเบือน”
พระราชธิดาพระองค์เล็กใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเผยว่า ที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวลือออกมามากมาย ที่สำคัญคือเราจะต้องรู้จักพิจารณา หากผิดจริงก็ต้องแก้ไข หากเป็นเรื่องไม่จริงก็ต้องปล่อยวาง
"15 ปีที่ผ่านมา เป็นเด็กวัด กินนอน ทำสมาธิอยู่ในกุฏิเล็กๆ ที่วัด กับหลวงตามหาบัว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเด็กวัด แม้ว่าหลวงตาปลงสังขารไปแล้ว มีกระแสข่าวมากมาย มีคำกล่าวว่ามากมาย มันย่อมมีผลกระทบกับชีวิตคนเราแน่นอน แต่อยากให้มองย้อนกลับไปพิจารณาคำนินทาว่ากล่าวนั้นว่าตรงกับตัวเราหรือไม่"
"ถ้ามันเป็นจริงเราก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองเสียก่อน แต่ถ้าไม่ตรงกับเรา ต้องปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ทันที หลวงตาท่านสอนไว้ ตอนแรกเริ่มจะทำยากมาก แต่ก็พยายามสงบจิตใจและนึกถึงคำสอนของหลวงตา กำหนดลมหายใจ ทุกวันนี้สามารถทำได้อย่างสบายใจและสงบ เรื่องในอดีตให้มันผ่านไป อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปฟุ้งซ่านคาดเดา ให้อยู่กับปัจจุบัน อยากให้อยู่กับปัจจุบัน”
“เวลาที่เหงาหรือเครียดก็มีคุยหรือระบายกับลูกหมี (สุนัขทรงเลี้ยง) บ้าง ลูกหมีเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษาคน เพราะเขาอยู่กับคนมากเขาจะฉลาด เวลาที่มีอะไรมากระทบจิตใจไม่ว่าใครจะพูดอะไร มีข่าวอะไรทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี หลักใหญ่ๆ คือ จิตใจ ทุกอย่างสำคัญที่ใจ เมื่อใจเราคิดดี มีใจเป็นประธานแล้ว ทุกอย่างที่เราคิดก็จะออกมาดีเอง ก่อนที่หลวงตาจะปลงสังขาร ท่านสั่งเอาไว้ว่าอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ ให้เข้มแข็ง ฉันก็จะไม่ร้องไห้ แม้กระทั่งวันที่ท่านปลงสังขารฉันก็ยังนิ่ง มีแค่เกือบๆ จะร้อง ฉันคิดว่าหลวงตาท่านมาโปรดฉันจริงๆ”
“เวลาส่วนตัวของฉันจริงๆ คือช่วงที่ไปอยู่วัด เป็นช่วงที่สงบสุขทั้งกายและใจ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เคยว้าเหว่เหมือนกันช่วงที่หลวงตาปลงสังขารไปใหม่ๆ ก็จะเอาดีวีดีคำสอนของท่านมาเปิดดู อ่านหนังสือของท่าน "หยดน้ำในใบบัว" หลวงตาท่านสอนว่า ให้เก็บพ่อไว้ในใจ แล้วท่านจะอยู่กับทูลกระหม่อมลูกตลอดไป (หลวงตาเรียกฟ้าหญิงว่าทูลกระหม่อมลูก) ฉันอยากไปอยู่วัด แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตร เพราะเกรงว่าฉันจะหลุดไปจากโลกปัจจุบันนี้”
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ ทรงตรัสต่อไปด้วยว่า การเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีหาได้สุขสบายเหมือนในนิทาน เพราะต้องทรงงานตั้งแต่ยังพระเยาว์ พร้อมทรงเผยว่าทุกวันนี้พระบิดาและพระมารดาก็ยังคงตรากตรำทรงงานอยู่ ซึ่งก็หวังว่าทั้งสองพระองค์จะทรงได้รับความยุติธรรมตามที่ควรจะได้
“หลังจากที่ผ่าตัดแล้วต้องพักถึง 3 เดือน แต่นี่ก็เลยช่วง 3 เดือนมาแล้ว ยังเดินไม่ค่อยสะดวก แต่ก็ยังต้องทำงาน เพราะช่วงที่พักฟื้น พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ท่านเสด็จฯ ไปเยี่ยมเอง จนทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องรีบหาย ต้องรีบแข็งแรง ตั้งใจที่จะหายและสามารถเดินได้ทำงานได้ปกติ มาถวายงานท่านทั้ง 2 พระองค์ให้ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ดูงานคณะแพทย์ พอ.สว. ก็จะต้องเข้าไปรายงานความคืบหน้าให้ทั้ง 2 พระองค์ได้ทราบด้วย งานในส่วนของสถาบันวิจัยกับงานโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ก็ยังดำเนินต่อไป เมื่อมีปัญหา หรือมีเรื่องที่ต้องปรึกษาร่วมกับคณะก็ต้องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
“การเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี มีหน้าที่มากมาย ไม่ได้สุขสบายอย่างที่หลายคนคิดหรือนึกภาพตามจินตนาการนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย ชีวิตถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ต้องทำงานตั้งแต่อายุ 14 จนถึงเรียนจบปริญญาเอก ทุกวันนี้พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ท่านยังทรงงาน แม้ว่าจะมีอาการเจ็บป่วย เห็นท่านตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนของท่านมาตั้งแต่เด็กๆ เดินทางไปในแหล่งที่ไม่มีแม้กระทั่งถนน ช่วยเหลือประชาชน เด็กยุคใหม่ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง”
“ใจจริงของฉัน อยากจะขอเวลาจากรายการทีวีช่วงสั้นๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ”.