“ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” ประทานสัมภาษณ์เหตุเผาบ้านเมืองนำความทุกข์เหลือเกินสู่พระราชินี-ในหลวง กระทั่งอาการพระประชวรที่เริ่มดีกลับทรุดลง ทรงเล่าทั้ง 2 พระองค์ทรงงานหนักมาโดยตลอดโดยเฉพาะในยามประเทศเกิดวิกฤต จนบางครั้งแทบไม่มีเวลาบรรทม ตรัสอยากได้เวลาทีวีวันละ 10 นาทีหวังคนเข้าใจในหลวงทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่กล้าขอ
เป็นการออกอากาศที่มีประชาชนคนไทยจำนวนมากให้ความสนใจติดตามชมสำหรับรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” เทปคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 เม.ย.) ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี หลังทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานสัมภาษณ์เรื่องราวส่วนพระองค์ โดยมี “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นพิธีกรผู้ดำเนินรายการ
ผู้ดำเนินรายการ : ขอพระราชทานกราบทูลเกล้าฝ่าพระบาท ข้าพเจ้านายวู้ดดี้ ผู้ดำเนินรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ขอพระราชทานบันทึกเทปและพระราชทานสัมภาษณ์ใต้ฝ่าพระบาท ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ผู้ดำเนินรายการ : ต้องเรียนทูลกระหม่อมว่า วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิตตั้งแต่ทำรายการมา และต้องขอกราบอภัยถ้าข้าพเจ้าได้ทูลผิดในหลายๆ ครั้ง
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมทอดพระเนตรรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยบ่อยไหม พระพุทธเจ้าข้า?
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็ดูบ้างแต่ไม่ได้ดูทุกครั้งค่ะ
ผู้ดำเนินรายการ : ถ้ามีโอกาสได้ทอดพระเนตรโทรทัศน์หรือว่าทีวี ทรงโปรดละครหรือว่าข่าวประเภทไหนพระพุทธเจ้าข้า?
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ดูหลายอย่างดูพวกสารคดีทางธรรมชาติ ละครก็ดูเป็นบ้างเรื่อง ละครไทยดูเป็นบางเรื่อง บางเรื่องก็ทำได้ดี แต่บ้างเรื่องก็ดูไปดูมาแล้วก็หลับ (ทรงพระสรวล)
ผู้ดำเนินรายการ : แสดงว่าดูไปดูมาละครเรื่องนั้นอาจจะเบื่อ
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : อาจจะเบื่อ (ทรงพระสรวล)
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมทรงมีพระวินิจฉัยอย่างไรจึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าและทีมงานสัมภาษณ์พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็อยากจะให้คนที่ดูรายการนี้รู้จักตัวฉันอย่างแท้จริง ดีกว่าฟังข่าวลืออย่างโน่นอย่างนี้ บางทีข่าวก็บิดเบือน อันนี้มาจากต้นตอเลย ก็การันตีแล้วว่าเป็นข่าวจริง
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องอะไรที่ทูลกระหม่อมกังวลใจอยู่ตอนนี้อยู่พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็มีอะไรแปลกๆ เยอะ บางคนก็ลือไสยศาสตร์ บางทีก็บอกฉันว่า ที่ล้มเพราะถูกคนกระทำ ก็บอกว่าใครจะมากระทำเพราะไม่เคยไปทำร้ายใครใครจะมากระทำ
ผู้ดำเนินรายการ : และฝ่าพระบาทเองมีการรับมือกับปัญหาในชีวิตยังไงพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก่อนอื่นต้องบอกว่าเป็นเด็กวัด คืออยู่วัดป่าบ้านตาดมา 15 ปีกับหลวงตามหาบัว ยังไงคนเราต้องมีแน่สิ่งกระทบ ขอเรียกว่าสิ่งกระทบทางสังคม อย่างพวกแสงสีเสียง เสียงอะไรที่เราได้ยินมาเรารับมาล้วนทั้งดีและไม่ดี
พอพระท่านบอกว่า สรรเสริญควบคู่กับนินทา อยู่ในโลกนี้มันเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าถูกเขานินทาว่าร้ายถ้ายังกระทบใจเรา สิ่งที่เราต้องกระทำก็คือ พิจารณาตัวเองก่อน พระท่านสั่งให้พิจารณาตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปพิจารณาคนอื่น เราต้องดูตัวเราเองก่อนต้องพิจารณาตัวเราเองก่อน
ว่าสิ่งที่เขาว่าที่มากระทบเรานี้มันเป็นจริง เราเป็นจริงอย่างที่เขาว่าไหม ถ้าเราเป็นจริงต้องแก้ไขด้วยตัวเอง แก้ไขเสร็จแล้วก็วาง แต่พิจารณาแล้วไม่เป็นจริงก็วางเลย ต้องขอพูดเล่นๆ ว่า ถ้ามีของเราแบกไว้เราหนักไหม มันหนัก การปล่อยวางวางนี้มันเบาโอ้ยมันสบาย เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางให้อภัยได้
ผู้ดำเนินรายการ : แต่บางครั้งดูเหมือนจะยากพระพุทธเจ้าข้า อย่างข้าพพระพุทธเจ้ายังรู้สึกโรคจิตคือแบกอยู่ได้ บางครั้งยังต้องปล่อย แต่ก็คิดว่าพนักงานจะอยู่ยังไง มันไม่สามารถกลับบ้านไปปิดประตูได้เลย ทำไม่ได้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ต้องทำให้ได้ค่อยๆ ทำการปล่อยวาง นี้เป็นสิ่งที่ทำยาก ตัวเราเองนี้ก็ทำยากแต่ต้องปล่อย อย่างแต่ก่อนเป็นคนนอนไม่หลับ สมัยสาวๆ เป็นคนนอนไม่หลับ แต่พอมาตอนหลังๆ อยู่กับหลวงตามหาบัว ก็ต้องบอกตัวเองว่า ต้องนอนแล้วนะ มันก็ต้องหลับ ทุกอย่างวางไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ ตอนแรกทำยากค่ะ แต่สิ่งที่จะช่วยได้ในการทำคือการนั่งสมาธิ พอจิตนิ่งพอสงบมันจะกลายเป็นความสุข
ผู้ดำเนินรายการ : ทุกวันนี้ทูลกระหม่อมมีความสุขทุกวันเวลาที่ตื่นขึ้นมาไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็ไม่ทุกวันหรอกค่ะ ชีวิตคนเราก็ต้องมีสิ่งที่เราถูกใจไม่ถูกใจ มีทั้งนั้นที่จะมากระทบ แต่ฉันวาง ต้องหัดวางให้เร็ว
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมบอกว่า ทรงเป็นเด็กวัดตอนนี้ทรงเสด็จฯ ไปที่วัดของหลวงตามหาบัวได้ข่าวว่าทรงอยู่ในกุฏิเล็กๆ เองพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : กุฏินี้ห้องห้องเดียวและก็นอนกับพื้น และก็มีห้องน้ำก็ห้องเล็กๆ เกือบเท่าห้องน้ำในเครื่องบิน อยู่ได้ ก็อยู่มาหลายปีแล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมอยู่มาอย่างสบายๆ แต่ว่าตอนนี้ทูลกระหม่อมตัดทุกอย่างทิ้งมันทำใจยังไง
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : หลวงตามีวิธีสอนให้ทำใจ คือตอนที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาใหม่ๆ ท่านยังไม่ให้ไปอยู่ในวัด ท่านบอกขอเตรียมความพร้อมก่อน ท่านให้ไปอยู่โรงแรม ตี 4 กว่าท่านให้เริ่มจากการใส่บาตรตอนเช้า พอใส่บาตรเสร็จจะเดินตามท่านเข้าไปทานอาหารเช้าพร้อมกับพระ จากนั้นท่านก็จะเทศน์ พอเทศน์เสร็จท่านก็จะให้พรเป็นอันจบกิจวัตรตอนเช้า พอตอนบ่ายท่านก็จะให้เข้าไปที่กุฏิหลวงตาและท่านก็จะสอนตัวต่อตัวและก็ติวเข้มเลย ว่ากิจวัตรประจำวันควรจะเป็นยังไงทำตัวยังไง
ผู้ดำเนินรายการ : หลวงตาสอนอะไรบ้างพุทธเจ้าข้า ที่ทรงจำได้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : สอนมากมาย แต่ว่าหลักใหญ่สำคัญที่ใจ คนเรามีใจเป็นประธาน ถ้าใจดีแล้วทุกอย่างก็จะดีตามด้วย และท่านก็สอนอย่างพอมีความทุกข์ก็ไปหาท่าน ท่านก็สอนว่า อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถดึงมาแก้ไขได้ เพราะฉะนั้น เรื่องในอดีตให้ปล่อยวางไปเลยอย่าคิด
ผู้ดำเนินรายการ : หลวงตาท่านดุไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ไม่ดุค่ะ และท่านก็สอนต่ออีกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรที่จะไปคาดเดาจินตนาการ เพราะฉะนั้นจะทำให้ฟุ้งซ่านขอให้อยู่ในปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตก็จะดีเอง
ผู้ดำเนินรายการ : เรียกหลวงตาท่านว่าอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ท่านพ่อค่ะ
ผู้ดำเนินรายการ : หลวงตาเรียกใต้ฝ่าพระบาทว่าอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : หลวงตาท่านเรียกทูลกระหม่อมลูก
ผู้ดำเนินรายการ : หลังจากหลวงตามหาบัวจากโลกของเราไปแล้ว ทรงรู้สึกอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้าวินาทีนี้
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ต้องใช้คำว่าว้าเหว่เหมือนกัน แต่ว่าหลวงตาท่านบอกว่า ให้เก็บพ่อไว้ในใจ แล้วพ่อจะอยู่ในทูลกระหม่อมลูกตลอดไป
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมอยากฝึกธรรมะเอง อยากฝึกไปถึงขั้นไหนพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ไม่ คิดแค่ว่าอยากจะเป็นข้างต้นบรรลุพระโสดาบันตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา ถ้าบรรลุพระโสดาบันแล้วจิตจะไมมีวันตกไปอยู่ในความชั่ว มันจะดีแล้วมันก็จะดีไปตลอด แม้ว่าต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้บ้างก็อีก 7 ชาติ บ้างก็อีก 3 ชาติ บ้างก็ชาติเดียว อันนี้ท่านเขียนไว้ในพระไตรปิฎก และก็ที่พูดถึงว่ามีชาติกี่ชาติ ไม่รู้ว่าใครสัมภาษณ์ใคร ต้องถามคุณวู้ดดี้ว่าอยากเกิดอีกไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ : ข้าพพระพุทธเจ้ายอมรับว่า อยากพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากที่จะอยู่บนโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้ามีความสุขที่ได้อยู่บนโลกนี้ไม่อยากตาย แต่ทุกคนบอกว่าจะต้องตาย ไปจากโลกนี้หรือนิพพานอะไรซักอย่าง ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง แต่ว่าพระพุทธเจ้ายังยึดติดอยู่ ไม่อยากตายพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : คนเราเกิดมาต้องตายหมดทุกคนเพราะฉะนั้นการเกิดก็มีทุกข์แล้ว ลองสังเกตดูนะคุณวู้ดดี้ มีเด็กคนไหนไหมเกิดมาแล้วหัวเราะ เกิดมามีแต่ร้องไห้เลย (พระพุทธเจ้าข้า) เพราะฉะนั้นแสดงว่ามีทุกข์ เพราะฉะนั้นการแก่บางคนก็ไม่อยากแก่ และการเจ็บนี้ไม่มีใครอยากเจ็บ และไม่มีใครอยากตาย เพราะฉะนั้นคุณวู้ดดี้ต้องซ้ำๆ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ถ้าจะแจงให้ละเอียด ความทุกข์บนโลกมนุษย์มีอีกเยอะเลย สู้เราตายไปให้พ้นเลยไม่ดีกว่าเหรอ
ผู้ดำเนินรายการ : อยากตายแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ผู้ดำเนินรายการ : อย่างผู้หญิงบางคนจะยึดติดกับแบรนด์เนม ทูลกระหม่อมเองรู้สึกอย่างไร หลังจากศึกษาธรรมะแล้วทิ้งได้ไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็ยังชอบนะแต่ว่าไม่ถึงกับติด เพราะว่าหลวงตาท่านสอนไม่ให้ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น แต่จริงๆ แล้วในตัวฉันยังเป็นคนชอบแต่งตัว ฉันยังเหมือนผู้หญิงธรรมดาแต่ว่าบาปในส่วนอื่นๆ มาอยู่กับหลวงตาก็ลดลงไปเยอะ คือไม่ทำบาปอะไรอย่างอื่น การฆ่าสัตว์ แม้แต่มด แม้แต่ยุงเคยตบ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ตบแล้ว (แต่ก่อนตบใช่ไหมพระพุทธเจ้าค่ะ) เคย สมัยก่อนเคยแต่ตอนนี้ไม่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ : จะทำยังไงพระพุทธเจ้าข้า เวลานั่งสมาธิมันมาไต่ กัดอยู่
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : บางทีก็เอาปากเป่าถ้าตัวมันเบาๆ แต่ถ้ามันตัวโตหน่อยก็ค่อยคีบไปปล่อยข้างนอก
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วเจ้ามดตัวน้อยๆ ไม่กัดเหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ไม่กัดค่ะ สงสัยมันเรียนธรรมะด้วย
ผู้ดำเนินรายการ : ทรงหวังที่จะนิพพานเลยหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็อยากนะแต่ชาตินี้คงทำไม่ได้เพราะว่ายังถูกผูกมัดด้วยหน้าที่ คือเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่มากมาย คือเป็นอะไรที่ยังต้องทำอะไรเกี่ยวกับทางโลกมาก เคยคิดว่าอยากจะไปอยู่วัดเลย แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตร เลยเสาร์-อาทิตย์ไปๆ มาๆ
ผู้ดำเนินรายการ : ไม่เป็นที่ยอมรับของญาติมิตรหมายความว่ายังไงพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : คือเขาไม่อยากให้ไปเพราะเขากลัวว่าจะหลุดไปเลย คือกลัวจะไปทางสายนั้นเลย คือเขาห่วงว่าจะติดต่อไม่ได้ กลัวจะไปเป็นอุบาสิกาอยู่ที่วัดเลย
ผู้ดำเนินรายการ : นอกจากปฏิบัติธรรมแล้วใต้ฝ่าพระบาทยังทรงเป็นกำลังสำคัญ ดำเนินการจัดทำผ้าป่าสำคัญช่วยชาติของหลวงตาและปัจจุบันนี้ยังคงดำเนินไปถึงขั้นใดแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ตอนนี้ทองที่ได้หลังจากที่หลวงตาจะละสังขารนี่อยู่ที่ 12 ตันในคลังหลวง แต่ช่วงที่หลวงตาละสังขารไปแล้วรอพระราชทานเพลิงอยู่ 1 เดือนนี้ก็มีคนมาบริจาคทั้งเงินทั้งทอง เข้าใจว่าคงจะถึง 13 ตันแล้ว เพราะว่าคนมาบริจาคเยอะ แล้วพูดก็ไม่น่าเชื่อ เงินเพียงแค่ 30 วันได้มา 600 ล้าน แต่ใน 600 ล้านหลวงตาเขียนไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่า ให้ไปซื้อทองเข้าคลังหลวง ท่านระบุไว้อย่างชัดเจนเลย แต่จริงๆ แล้วก็อยากจะดำเนินเจตนารมณ์ต่อจากหลวงตาเหมือนกัน แต่ก็เกรงพระบารมีของตัวฉันเองนี้จะไม่เท่าหลวงตาก็อาจจะทำได้ แต่ช้าหน่อย
ผู้ดำเนินรายการ : ทรงพระกรรแสงเยอะไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ไม่ค่ะ เพราะว่าหลวงตาสั่งไว้ไม่ให้ร้องไห้ แต่มันก็จุกๆ ขึ้นมาเกือบๆ เหมือนกัน
ผู้ดำเนินรายการ : มันต้องคิดบ้างสิใช่ไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ใช่ แต่ตอนที่รู้สึกอีกตอนนึงก็คือตอนพระราชทานเพลิง แล้วพอไปเห็นอัฐิท่านนี้ใจนี้กึกแล้ว เอ๊ะ ใจเราจะทนได้ไหม เพราะว่าเคยเห็นท่านเป็นองค์ๆ เคยคุยกับท่าน เห็นอีกทีท่านเป็นกระดูกไปแล้ว คือว่าหลวงตาท่านอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้ดูและจะได้พิจารณา จะได้ไม่ยึดติด
ผู้ดำเนินรายการ : เขาบอกว่าการที่เราเป็นเจ้าสบายเหลือเกิน มีทุกอย่างเพรียบพร้อม ทูลกระหม่อมรู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้พระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ถือว่าตลกดี ชีวิตฉันนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน แล้วท่านก็ใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ที่เริ่มออกเยี่ยมราษฎรไปอยู่หน่วยแพทย์ (พอ.สว.) ของท่าน ดูแลประชาชน ท่านเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 14 ปี แล้วการเรียนก็จำเป็นต้องเรียนพิเศษกลางคืน
ต้องทำงานถวายก่อนแล้วเรียนพิเศษตอนกลางคืน ทำอย่างนี้มาจนจบปริญญาเอก ซึ่งมันยากเพราะเวลามีเรียนมันน้อย เวลาพักผ่อนก็น้อย มันก็ง่วง เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แล้วยังต้องเรียนอีก แต่ก็เข้าใจทูลกระหม่อมเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่า ท่านให้ทำเพื่ออะไร ทำไมต้องทำงานเพราะมีหน้าที่ เข้าใจ และยิ่งตอนนี้อายุมากขึ้นด้วยยิ่งเข้าใจเสด็จพ่อมากขึ้นเลย
ผู้ดำเนินรายการ : เข้าใจว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : เข้าใจว่าเป็นเจ้าเราต้องบำเพ็ญบารมี คือให้ทานและบารมี ให้ทานให้ความสุขแก่ราษฎร ให้ความสุขยังไง เช่น เขาป่วยเราก็รักษา เขาไม่มีอาชีพทำก็นำมาอบรมให้มีอาชีพทำ เขามีปัญหาทางเกษตรกรรม เช่นน้ำไม่พอ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสร้างเขื่อนให้เขา บุกไปดูพื้นที่ว่าต้องทำเขื่อนตรงโน้นตรงนี้เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ นี้คือพ่ออยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ทรงทำอย่างนี้มา 60 ปี
ผู้ดำเนินรายการ : ทุกวันนี้ทูลกระหม่อมทรงเสด็จไปเยี่ยมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : คือตอนนี้ฉันทำ (พอ. สว.) หรือหน่วยแพทย์อาสามา 2 ปี ส่วนมากสมเด็จพ่อก็จะทรงถามว่า ไป พอ.สว.ครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง ท่านจะถามตลอด เป็นยังไงบ้างราษฎร เจ็บป่วยมากไหม ชาว พอ.สว.ยังอินคูสสปิริตหรือเปล่า มีปัญหาหรือเปล่า ไปที่ไหนมาบ้างท่านจะถามตลอด ท่านจะ 83 แล้วแต่สมองยังแอ็กทีฟมาก
อินคูสสปิริต หมายถึงยังสามัคคีกัน ทำงานกันด้วยใจเบิกบาน ฉันสอนชาว พอ.สว.เสมอว่า ทำงานแบบไม่ทุกข์ ไม่ใช่ว่าเจอคนไข้ที่ต่อล้อต่อเถียงแล้วเกิดหงุดหงิดขึ้นมา ก็บอกว่าไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ เราเป็นหมอเราต้องรู้จักว่าจรรยาบรรณแพทย์คืออะไร คือคนไข้เขาเจ็บป่วยมาเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะอารมณ์ไม่ดี เราต้องรับตรงนั้นให้ได้ ถ้าเราจะทำอาชีพคุณหมอ เราก็บอกเขาว่า รับมาแล้วเราก็ไม่ต้องแบกมันไว้นะ วางมันไปเลยจบ
ผู้ดำเนินรายการ : วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้รับรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านทางเพลงสรรเสริญพระบารมีตอนก่อนที่เขาจะดูหนังกัน เห็นโครงการมากมาย แต่เชื่อว่าน้อยคนจะได้มีโอกาสตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วู้ดดี้รู้ว่าพระองค์ท่านทรงงานหนักขนาดหนักเลย เพราะได้ข่าวว่าทรงงานตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เลยจริงไหมพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : จริง ท่านทรงงานท่านตรากตรำมากนะ เมื่อท่านเสด็จเยี่ยมบ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่ บางครั้งไม่มีทางก็ต้องเดินทางข้ามเขา บางทีข้ามเขา 7-8 ลูก บางครั้งฉันเคยตามเสด็จแล้วเราคือต้องอยู่หน่วยแพทย์ ก็ต้องแบกเป้ยา เพราะว่าอยู่หน่วยแพทย์ก็ต้องใช้ยาได้ ก็ตอนนั้นยังอายุน้อย คือตอนนั้นยังสาวอยู่รู้สึกว่ามันลำเค็ญ เจอหมู่บ้านก็อยากให้มีคนป่วยเยอะๆ จะได้ระบายยาออกจากเป้เพราะมันหนักมาก มันหนัก 14 กิโล
ผู้ดำเนินรายการ : ในขณะเดียวกันเวลาได้ยินเพลงสรรเสริญฯ ในโรงหนัง เวลาท่านทอดพระเนตรท่านรู้สึกอย่างไรพระเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ก็รู้สึกว่าจะได้เห็นภาพวิถีชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างละนิดอย่างละหน่อย ฉันว่าน้อยเกินไป ถึงจะน้อยก็ยังภูมิใจอยู่ว่า เด็กรุ่นใหม่อายุ 20 นี้ก็ค่อยรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทำอะไร คือไม่ได้พูดว่าจะโปรโมตว่าตัวเองเป็นเจ้า แต่อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกิน
จริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ ตอนท่านทรงงานทุ่มพระทัยเต็มที่สำหรับประชาชนคนไทย ทั้งสองพระองค์ท่านเอาใจใส่มาก พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตามงานชลประทาน ท่านให้คนมาเข้าเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลทุกวันที่โรงพยาบาล
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้เหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ใช่
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วจะมีเวลาบรรทมเหรอพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ท่านบรรทมดึกมาก บางครั้งท่านก็บรรทมไม่หลับ บางครั้งก็บรรทมน้อย บางครั้งมีการส่งรูปปัญหาต่างๆ เข้า ท่านก็คอยตาม อย่างน้ำท่วมคนลำบากไหม ท่านก็ทรงให้ส่งถุงยังชีพไปให้ แต่พอท่านทอดพระเนตรทางโทรทัศน์ว่าทางนั้นก็น้ำท่วม ทางนี้ร้อน ทางโน้นก็บาดเจ็บ ท่านนี้ตามช่วยเหลือโดยที่ไม่บอกใครด้วย คือท่านปิดทองหลังพระจริงๆ คือถ้าไม่ได้เป็นลูกท่านคงไม่รู้จริงๆ
ผู้ดำเนินรายการ : เท่าที่คนรุ่นใหม่เขาดูสื่อ ว่าสำนักพระราชวังจัดการทุกอย่าง พระองค์ท่านก็....
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ท่านสั่งเอง
ผู้ดำเนินรายการ : ทุกครั้งที่ถุงยังชีวิตออกไปพระเจ้าอยู่หัวก็...
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ใช่ท่านสั่งเอง
ผู้ดำเนินรายการ : สำนักพระราชวังจะไม่สามารถส่งไปได้ถ้าพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงรับสั่ง มีประเด็นไหนไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงมากที่สุดอันดับต้นๆ เลย คืออะไรพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : พูดตรงๆ ทั้งสองพระองค์เป็นห่วงความสามัคคีกลมเกลียวกันในชาติไทย เพราะว่าถ้าแตกแยกกัน ศัตรูนี้จะทำร้ายเราง่ายมาก คนไทยเราต้องเข้มแข็ง มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน สามัคคีกัน ชาติจึงจะเจริญได้ เพราะว่าจะเล่าไปข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลวไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง
แต่ว่า...รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ่บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง
ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมคิดว่า ประเทศชาติของเราจะสามารถเดินหน้าเป็นปึกแผ่นด้วยวิธีใดหลังจากนี้ ด้วยวิธีใดบ้างพระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าใครที่ชมอยู่ทางบ้านอาจจะสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : จริงๆ แล้วการแบ่งก๊กแบ่งเหล่านี่ มันเป็นของไม่ดีสำหรับบ้านเมือง คือมีอะไรก็น่าจะค่อยพูดค่อยจาอย่าทำอะไรรุนแรง การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าปิดถนนมันทำให้จราจรติดขัดบ้าง คนก็อารมณ์ไม่ดี แล้วข้าพเจ้าไม่เข้าข้างใครไม่ว่าสีอะไรต่อสีอะไร
ต้องยกคำพูดของท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย ตอนนี้เป็นอาจารย์ที่ดูแลทางธรรมะของข้าพเจ้าต่อจากหลวงตามหาบัว อาจารย์อินทร์ถวายนี่เป็นลูกศิษย์ที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า เคยมีคนมาถามท่านว่า เชียร์สีแดงหรือสีเหลือง ท่านบอกว่าสีกรัก สีกรักนั่นคือสีที่ย้อมเป็นจีวรพระ ท่านบอกท่านเชียร์สีกรักเช่นเดียวกันตัวฉันเองก็คงเชียร์สีกรักเหมือนกัน
ผู้ดำเนินรายการ : พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะได้เริ่มเชียร์สีกรักด้วยบ้าง ทูลกระหม่อมเองก็ประชวร แต่ก็ยังเสด็จไปหลายพื้นที่มากโดยวีลแชร์ อึดอัดไหมพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ไม่ค่ะ เพราะว่าทำนี่มันทำด้วยใจ คือที่ออก พว.สว.ก็ได้ถามแพทย์เขาแล้วว่าไม่อันตรายใช่ไหม ตอนที่ช่วงหลวงตาป่วยนี่ จริงๆ แล้วอันตรายสำหรับฉันที่จะเดินทาง แต่ข้าพเจ้าบอกว่า หลวงตาไม่สบายยังไงก็ต้องไป หมอก็บอกว่า งั้นต้องเอ็กเซอร์ไซส์ตลอด คือเอ็กเซอร์ไซส์ท่าต่างๆ มีหลายท่า ซึ่งเหนื่อยมากเลย กว่าจะถึงอุดรธานีเอ็กเซอร์ไซส์ไป 3 ท่า ท่าละ 160 ครั้ง
ผู้ดำเนินรายการ : บนเครื่องบินหรือพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ใช่
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วตอนนี้อาการของพระอุรุ หรือต้นขานี่เป็นอย่างไรแล้วพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : อย่าใช้ราชาศัพท์มากนะ เพราะว่าฉันเองไม่ค่อยรู้ราชาศัพท์จะไปกันใหญ่
ผู้ดำเนินรายการ : ข้าพระพุทธเจ้าก็ท่องมา
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : แปลว่าอะไรนะ
ผู้ดำเนินรายการ : เขาบอกว่าต้นขาพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ท่องมาทั้งคืน (เสียงทีมงานแทรกพระอุรุแปลว่า กระดูกต้นขา)
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : กระดูกต้นขา ตอนนี้เพิ่งจะทราบ
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้กระดูกต้นขาเป็นอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : ตอนนี้กระดูกติดดีแล้ว แต่ว่าเดินยังเดินลำบาก เพราะความที่มันไม่ได้เดินมา 3 เดือนมันแข็งไปหมดเลย
ผู้ดำเนินรายการ : เวลาใต้ฝ่าพระบาทประชวร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงให้กำลังพระทัยอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : การให้กำลังใจของท่านคือ อย่างสมเด็จฯ นี่พระสุขภาพพลานามัยดีมาก ท่านก็จะมาเยี่ยมบ่อย ตอนที่ผ่าไทรอยด์ จำได้ว่าท่านมาเยี่ยมบ่อยมาก ตอนที่กระดูกหักนี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยนึกเลยว่าท่านจะมา
ทั้งๆ ที่ท่านต้องนั่งรถเข็นแต่ท่านก็เสด็จฯ มา พอเห็นเขาก็น้ำตาคลอแล้วว่า เออพ่อแม่ห่วงถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจที่หาย ตั้งใจพยายามทำอย่างดีที่สุดที่จะทำให้หาย ก็บอกกับพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหมือนกันว่า มีกำลังใจและตั้งใจที่จะหายเพื่อที่จะมาถวายงานต่อไป
ทั้งนี้ ในตอนท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการได้ถามถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเทปดังกล่าวนั้นจะออกอากาศอีกครั้งในคืนวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายนนี้