**การเข้ามอบตัวกับตำรวจของ พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ หรือ “ปอย” ผู้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากการลอบถ่ายคลิปวิดีโอการประชุมของตุลาการ ระหว่างการหารือเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่น่าพิเคราะห์ไม่น้อย
เพราะการเดินหน้าเข้าหาตำรวจของ “พสิษฐ์” เกิดจากต่อมสำนึกผิดทำงานกระทันหัน หรือเป็นเพราะเขาคือหนึ่งในตัวละครที่ “ผู้กำกับ” เห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเข้ากล้อง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแล้ว กันแน่
“พสิษฐ์” กบดานอยู่เกาะฮ่องกงนานหลายเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการนำเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลศิริราช ที่ปรากฏคนหน้าเหมือน “พสิษฐ์” มาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนจนทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า “พสิษฐ์” คงกลับมาซุกตัวอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานครนี่เอง
แต่เรื่องนี้ทางตำรวจยืนยันว่า คนที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด ไม่ใช่ “พสิษฐ์” ทำให้ข่าวคราวของเขาหายเข้ากลีบเมฆอีกครั้ง ขณะที่การติดตามตัวเพื่อดำเนินคดีตามหมายจับกลับคว้าน้ำเหลว
เมื่อ “พสิษฐ์” ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจกองปราบปราม โดยยอมรับว่าเดินทางเข้าประเทศไทยโดยช่องทางพิเศษที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า ผู้ต้องหาหนีคดีอย่าง “พสิษฐ์” มีใครเป็น “คนหนุนหลัง” ทำให้สามารถเดินอย่างสง่าผ่าเผย เข้าประเทศได้
**โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งช่องทางดังกล่าว มีไว้สำหรับบรรดาพวกวีไอพี เท่านั้น
เรื่องนี้คงต้องดูความเชื่อมโยงของสายสัมพันธ์ที่ “พสิษฐ์” มีต่อพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งออกมารับลูกกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่การเปิดประเด็นว่า มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ ไปล็อบบี้เลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงการพูดล่วงหน้าว่า จะมีคลิปแฉศาลที่จะทำให้ตุลาการรัฐธรรมนูญอยู่ไม่ได้
จากนั้นก็มีการเผยแพร่คลิปเป็นชุด ผ่านยูทูป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า เกิดจากฝีมือของ “พสิษฐ์” เป็นคนถ่าย จนกระทั่งมีการนำไปเผยแพร่อย่างเป็นระบบ เพื่อดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และปั่นกระแสว่า หากพรรคประชาธิปัตย์รอดจากคดียุบพรรค ก็เป็นเพราะมี “ตัวช่วย”
** การปรากฏตัวของ “พสิษฐ์” ในขณะที่ปี่กลองการเลือกตั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จึงต้องบอกว่าช่างเป็นตัวละครที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการตีปี๊บจุดประเด็นศาลสองมาตรฐาน ไร้ความยุติธรรมกลับมาโจมตีศาล เพื่อปลุกคนเสื้อแดง และสร้างกระแสสังคมให้ต่อต้านพรรคคู่ต่อสู้ และศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
ที่น่าสนใจคือ เพียงแค่ “พสิษฐ์” มอบตัว “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ก็เป็นเสือปืนไว ให้สัมภาษณ์ทันทีว่า “พสิษฐ์” จะขึ้นเวทีคนเสื้อแดง ในวันที่ 10 เมษายน ที่คนเสื้อแดงจัดงานรำลึกวันคนชุดดำปรากฏกายโจมตีทหาร จนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียของบ้านเมือง
บทบาทเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ “พสิษฐ์” จะมามอบตัวในช่วงเวลานี้พอดี และ “คางคกตู่” ก็คงไม่นกรู้รวดเร็วถึงขั้นว่า “พสิษฐ์” พร้อมขึ้นเวทีคนเสื้อแดง แต่น่าจะเป็นเพราะคนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงติดต่อกันโดยตลอด
และเกมนี้ก็ถูกกำหนดตัวละครแจกบทกันไปเรียบร้อยแล้ว
** สิ่งหนึ่งที่อยากให้สังคมย้อนรำลึกถึง คือ คลิปของ “พสิษฐ์” ที่ไปโผล่ในยูทูป เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 53 ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้
" สวัสดีครับ ท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่ผมเคารพยิ่งครับ กระผม พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และโฆษกศาลรัฐธรรรมนูญ ซึ่งปัจจุบันนี้ กระผมได้พ้นจากหน้าที่ต่างๆ หมดสิ้นแล้วครับ
วันนี้กระผมได้ตัดสินใจมาพูดคุยกับท่าน และมีการติดต่อสื่ออสารกันเป็นครั้งแรก กระผมมีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟังเรื่องหนึ่งครับ
มีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่ง อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง บริษัทนี้ก็มีประธานบริษัท มีกรรมการบริหารบริษัท และมีเจ้าหน้าที่ของบริษัท วันหนึ่งผู้จัดการดูแลโครงการของทางนิคมอุตสาหกรรม มาบอกประธานบริษัทคนนี้ว่า ให้บริษัทนี้ ยุติการติดต่อสัมพันธ์กับบริษัทอื่นๆ ที่มีหน้าที่เอาวัตถุดิบต่างๆ หรืออะไรต่างๆ เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับทางบริษัท ซึ่งบริษัทเหล่านั้น ก็มีหลายบริษัท แต่ผู้จัดการของนิคมอุตสาหกรรม บอกประธานกรรมการบริหารบริษัทแห่งนี้ว่า ให้เลือกบางบริษัทนั้นอยู่ติดต่อกับบริษัทได้ แต่บางบริษัทก็ไม่สมควรให้อยู่ ทั้งๆ ที่บริษัทเหล่านั้น กระทำผิดข้อบังคับของทางนิคมอุตสาหกรรม อาจจะเรื่องเดียวกันเลย หรือใกล้เคียงกัน
แล้วประธานบริษัทก็มาบอกกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งมีความสำคัญในบริษัทว่า ขณะนี้มีกระแสมาแล้ว จากผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรม ว่ากระแสนั้นมาถึงบริษัทของเราเแล้ว และประธานกรรมการ ก็ได้พูดคุยกับทางคณะแล้ว ว่าจะต้องทำบางประการ ซึ่งความตรงไปตรงมาในทุกด้าน ในทุกทิศทาง กับการต้องเลือกว่าบริษัทไหนควรจะมีปฏิสัมพันธ์กันต่อไป มันเบี่ยงเบนกันไปบ้าง ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว มีความรัก ยึดมั่นในความถูกต้อง ก็คงไม่สามารถที่จะอดรนทนอยู่ได้
แต่อย่างไรก็ดี มีเรื่องที่น่าคิดอยู่ว่า กระแสจากบุคคลภายนอกของบริษัท สามารถที่จะบอกให้บริษัทนั้นซ้ายหัน ขวาหันได้ ตรงนี้เป็นเรื่องน่ากลัวยิ่งครับ และที่สำคัญยิ่งยวดไปกว่านี้ ก็คือ การซ้ายหันขวาหันได้ มันไม่สมควรจะเกิดขึ้น ดังนั้น ทุกอย่างควรที่จะมีความตรงไปตรงมาในการดูแลบริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในมาตรฐานเดียวกัน
วันนี้กระผมเป็นเพียงแค่นาฬิกาปลุก มากราบเรียนพวกท่านครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านคงจะเข้าใจในสิ่งที่กระผมพูด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กรรมการบริหารบริษัทนี้ และประธานกรรมการบริหารบริษัทนี้ จะไม่ใช้คำว่ารอการกำหนดโทษกับบางบริษัท ที่ทางผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ให้การสนับสนนุนอยู่ กราบขอพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ สวัสดีครับ"
นอกจากนี้ ในตอนท้ายของคลิป เป็นจดหมายเขียนด้วยลายมือ ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งตอนท้ายของจดหมายมีข้อความว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรถือเป็นที่สุด แต่หาได้ผูกพันให้ประชาชนทุกคนคิด และยอมรับเหมือนกัน หากมิได้เป็นความถูกต้องอย่างแท้จริง”
** การเปรียบเทียบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหมือนบริษัทที่ถูกแทรกแซงจากภายนอกได้นั้น น่าคิดว่า เขาต้องการกระทบกระเทียบถึงใครมีเป้าหมายกับคนเสื้อแดงบางส่วนใช่หรือไม่ที่พยายามดึงฟ้าต่ำ กัดกร่อนศรัทธาประชาชนที่มีต่อสถาบันหลัก เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ
การขึ้นเวทีเสื้อแดงของ “พสิษฐ์” ในมิติหนึ่ง อาจอยู่ในแผนของคนแดนไกลที่ว่ากันว่า ทุ่มหลักพันล้านบาท แลกกับการลักลอบถ่ายคลิปเล่นงานศาลรัฐธรรมนูญ และกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ จริงเท็จประการใดต้องถาม ประจวบ สังข์ขาว เพราะเป็นคนพูดกลางวงข้าวว่า
** “พี่ปอยบอกว่า มีคนวิ่งเต้นให้เงินเป็นพันล้านบาท เพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์"
ตามแผนนี้ถือว่ายังไม่บรรลุผล เพราะยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องคือทำลายทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญช่วยพรรคประชาธิปัตย์ตามใบสั่งของ “คนมากด้วยบารมี” ตามที่มีการปูทางโหมโรงกันมาอย่างต่อเนื่อง
ในอีกมิติหนึ่ง การขึ้นเวทีเสื้อแดงของ “พสิษฐ์” เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า สึนามิการเมือง กำลังก่อตัวอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายแรกโค่นล้มอำนาจรัฐ ปั่นกระแสผู้คนให้เกลียดชัง ไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
** มันคือเกมแทงข้างหลังทะลุหัวใจ ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง ยั่วให้ทหารทำรัฐประหาร จากนั้นนำคนเสื้อแดงตลบหลัง ทำการปฏิวัติประชาชน เปลี่ยนแปลงประเทศ
เพราะการเดินหน้าเข้าหาตำรวจของ “พสิษฐ์” เกิดจากต่อมสำนึกผิดทำงานกระทันหัน หรือเป็นเพราะเขาคือหนึ่งในตัวละครที่ “ผู้กำกับ” เห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเข้ากล้อง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแล้ว กันแน่
“พสิษฐ์” กบดานอยู่เกาะฮ่องกงนานหลายเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการนำเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลศิริราช ที่ปรากฏคนหน้าเหมือน “พสิษฐ์” มาเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนจนทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า “พสิษฐ์” คงกลับมาซุกตัวอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานครนี่เอง
แต่เรื่องนี้ทางตำรวจยืนยันว่า คนที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด ไม่ใช่ “พสิษฐ์” ทำให้ข่าวคราวของเขาหายเข้ากลีบเมฆอีกครั้ง ขณะที่การติดตามตัวเพื่อดำเนินคดีตามหมายจับกลับคว้าน้ำเหลว
เมื่อ “พสิษฐ์” ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจกองปราบปราม โดยยอมรับว่าเดินทางเข้าประเทศไทยโดยช่องทางพิเศษที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า ผู้ต้องหาหนีคดีอย่าง “พสิษฐ์” มีใครเป็น “คนหนุนหลัง” ทำให้สามารถเดินอย่างสง่าผ่าเผย เข้าประเทศได้
**โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งช่องทางดังกล่าว มีไว้สำหรับบรรดาพวกวีไอพี เท่านั้น
เรื่องนี้คงต้องดูความเชื่อมโยงของสายสัมพันธ์ที่ “พสิษฐ์” มีต่อพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งออกมารับลูกกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่การเปิดประเด็นว่า มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ ไปล็อบบี้เลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงการพูดล่วงหน้าว่า จะมีคลิปแฉศาลที่จะทำให้ตุลาการรัฐธรรมนูญอยู่ไม่ได้
จากนั้นก็มีการเผยแพร่คลิปเป็นชุด ผ่านยูทูป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า เกิดจากฝีมือของ “พสิษฐ์” เป็นคนถ่าย จนกระทั่งมีการนำไปเผยแพร่อย่างเป็นระบบ เพื่อดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และปั่นกระแสว่า หากพรรคประชาธิปัตย์รอดจากคดียุบพรรค ก็เป็นเพราะมี “ตัวช่วย”
** การปรากฏตัวของ “พสิษฐ์” ในขณะที่ปี่กลองการเลือกตั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จึงต้องบอกว่าช่างเป็นตัวละครที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการตีปี๊บจุดประเด็นศาลสองมาตรฐาน ไร้ความยุติธรรมกลับมาโจมตีศาล เพื่อปลุกคนเสื้อแดง และสร้างกระแสสังคมให้ต่อต้านพรรคคู่ต่อสู้ และศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
ที่น่าสนใจคือ เพียงแค่ “พสิษฐ์” มอบตัว “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ก็เป็นเสือปืนไว ให้สัมภาษณ์ทันทีว่า “พสิษฐ์” จะขึ้นเวทีคนเสื้อแดง ในวันที่ 10 เมษายน ที่คนเสื้อแดงจัดงานรำลึกวันคนชุดดำปรากฏกายโจมตีทหาร จนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียของบ้านเมือง
บทบาทเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ “พสิษฐ์” จะมามอบตัวในช่วงเวลานี้พอดี และ “คางคกตู่” ก็คงไม่นกรู้รวดเร็วถึงขั้นว่า “พสิษฐ์” พร้อมขึ้นเวทีคนเสื้อแดง แต่น่าจะเป็นเพราะคนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงติดต่อกันโดยตลอด
และเกมนี้ก็ถูกกำหนดตัวละครแจกบทกันไปเรียบร้อยแล้ว
** สิ่งหนึ่งที่อยากให้สังคมย้อนรำลึกถึง คือ คลิปของ “พสิษฐ์” ที่ไปโผล่ในยูทูป เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 53 ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้
" สวัสดีครับ ท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่ผมเคารพยิ่งครับ กระผม พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และโฆษกศาลรัฐธรรรมนูญ ซึ่งปัจจุบันนี้ กระผมได้พ้นจากหน้าที่ต่างๆ หมดสิ้นแล้วครับ
วันนี้กระผมได้ตัดสินใจมาพูดคุยกับท่าน และมีการติดต่อสื่ออสารกันเป็นครั้งแรก กระผมมีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟังเรื่องหนึ่งครับ
มีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่ง อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง บริษัทนี้ก็มีประธานบริษัท มีกรรมการบริหารบริษัท และมีเจ้าหน้าที่ของบริษัท วันหนึ่งผู้จัดการดูแลโครงการของทางนิคมอุตสาหกรรม มาบอกประธานบริษัทคนนี้ว่า ให้บริษัทนี้ ยุติการติดต่อสัมพันธ์กับบริษัทอื่นๆ ที่มีหน้าที่เอาวัตถุดิบต่างๆ หรืออะไรต่างๆ เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับทางบริษัท ซึ่งบริษัทเหล่านั้น ก็มีหลายบริษัท แต่ผู้จัดการของนิคมอุตสาหกรรม บอกประธานกรรมการบริหารบริษัทแห่งนี้ว่า ให้เลือกบางบริษัทนั้นอยู่ติดต่อกับบริษัทได้ แต่บางบริษัทก็ไม่สมควรให้อยู่ ทั้งๆ ที่บริษัทเหล่านั้น กระทำผิดข้อบังคับของทางนิคมอุตสาหกรรม อาจจะเรื่องเดียวกันเลย หรือใกล้เคียงกัน
แล้วประธานบริษัทก็มาบอกกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งมีความสำคัญในบริษัทว่า ขณะนี้มีกระแสมาแล้ว จากผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรม ว่ากระแสนั้นมาถึงบริษัทของเราเแล้ว และประธานกรรมการ ก็ได้พูดคุยกับทางคณะแล้ว ว่าจะต้องทำบางประการ ซึ่งความตรงไปตรงมาในทุกด้าน ในทุกทิศทาง กับการต้องเลือกว่าบริษัทไหนควรจะมีปฏิสัมพันธ์กันต่อไป มันเบี่ยงเบนกันไปบ้าง ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว มีความรัก ยึดมั่นในความถูกต้อง ก็คงไม่สามารถที่จะอดรนทนอยู่ได้
แต่อย่างไรก็ดี มีเรื่องที่น่าคิดอยู่ว่า กระแสจากบุคคลภายนอกของบริษัท สามารถที่จะบอกให้บริษัทนั้นซ้ายหัน ขวาหันได้ ตรงนี้เป็นเรื่องน่ากลัวยิ่งครับ และที่สำคัญยิ่งยวดไปกว่านี้ ก็คือ การซ้ายหันขวาหันได้ มันไม่สมควรจะเกิดขึ้น ดังนั้น ทุกอย่างควรที่จะมีความตรงไปตรงมาในการดูแลบริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในมาตรฐานเดียวกัน
วันนี้กระผมเป็นเพียงแค่นาฬิกาปลุก มากราบเรียนพวกท่านครับ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านคงจะเข้าใจในสิ่งที่กระผมพูด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กรรมการบริหารบริษัทนี้ และประธานกรรมการบริหารบริษัทนี้ จะไม่ใช้คำว่ารอการกำหนดโทษกับบางบริษัท ที่ทางผู้จัดการนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ให้การสนับสนนุนอยู่ กราบขอพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ สวัสดีครับ"
นอกจากนี้ ในตอนท้ายของคลิป เป็นจดหมายเขียนด้วยลายมือ ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งตอนท้ายของจดหมายมีข้อความว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรถือเป็นที่สุด แต่หาได้ผูกพันให้ประชาชนทุกคนคิด และยอมรับเหมือนกัน หากมิได้เป็นความถูกต้องอย่างแท้จริง”
** การเปรียบเทียบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหมือนบริษัทที่ถูกแทรกแซงจากภายนอกได้นั้น น่าคิดว่า เขาต้องการกระทบกระเทียบถึงใครมีเป้าหมายกับคนเสื้อแดงบางส่วนใช่หรือไม่ที่พยายามดึงฟ้าต่ำ กัดกร่อนศรัทธาประชาชนที่มีต่อสถาบันหลัก เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ
การขึ้นเวทีเสื้อแดงของ “พสิษฐ์” ในมิติหนึ่ง อาจอยู่ในแผนของคนแดนไกลที่ว่ากันว่า ทุ่มหลักพันล้านบาท แลกกับการลักลอบถ่ายคลิปเล่นงานศาลรัฐธรรมนูญ และกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ จริงเท็จประการใดต้องถาม ประจวบ สังข์ขาว เพราะเป็นคนพูดกลางวงข้าวว่า
** “พี่ปอยบอกว่า มีคนวิ่งเต้นให้เงินเป็นพันล้านบาท เพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์"
ตามแผนนี้ถือว่ายังไม่บรรลุผล เพราะยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องคือทำลายทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญช่วยพรรคประชาธิปัตย์ตามใบสั่งของ “คนมากด้วยบารมี” ตามที่มีการปูทางโหมโรงกันมาอย่างต่อเนื่อง
ในอีกมิติหนึ่ง การขึ้นเวทีเสื้อแดงของ “พสิษฐ์” เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า สึนามิการเมือง กำลังก่อตัวอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายแรกโค่นล้มอำนาจรัฐ ปั่นกระแสผู้คนให้เกลียดชัง ไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
** มันคือเกมแทงข้างหลังทะลุหัวใจ ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง ยั่วให้ทหารทำรัฐประหาร จากนั้นนำคนเสื้อแดงตลบหลัง ทำการปฏิวัติประชาชน เปลี่ยนแปลงประเทศ