นายสมชัย ว่องอรุณ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STAR ผู้ผลิตสินค้าสุขภัณฑ์มาตรฐานโลกแบรนด์ Star เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้นำสุขภัณฑ์ Star ร่วมจัดแสดงสินค้าในงานสุขภัณฑ์โลก หรือ ISH 2011 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-19 มีนาคม 54 ที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าในกลุ่มยุโรปเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีลูกค้าสนใจจะเข้ามาเยี่ยมบริษัทและโรงงานในประเทศไทยเพื่อชมกระบวนการผลิตในไตรมาส 2 ปี 54 นี้ด้วย และหากขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้น เชื่อว่าจะเริ่มเห็นคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปี 54 แน่
นอกเหนือจากการมุ่งขยายตลาดส่งออกซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ แล้ว ในปีนี้ STAR ยังให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยการส่งสินค้าใหม่ลงทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการขาย เพื่อให้สินค้า สุขภัณฑ์แบรนด์ Star เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ซึ่งปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทฯ จะจัดให้มีการโรดโชว์สาธิตการใช้สินค้าในกลุ่มประหยัดน้ำโดยตรงกับผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพสินค้า Star มากยิ่งขึ้น และล่าสุดบริษัทฯ ได้นำสินค้าสินค้าสุขภัณฑ์รุ่นใหม่ และยอดนิยมหลายรายการ เข้าร่วมจัดแสดงในงาน HomePro EXPO ที่เมืองทองธานี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศ เชื่อว่าจะช่วยให้สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ ขยับขึ้นไปที่ 40% ได้สำเร็จจากปีก่อนที่ทำได้ 30% ส่วนอนาคตจะขยายให้เพิ่มเป็น 50 ต่อ 50 เพราะตลาดดัวกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตดี ดังนั้น เพื่อรองรับแผนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปีนี้จึงเตรียมทุน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกระแสเงินสดในการดำเนินงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าในระดับไฮเอ็นได้เพิ่มขึ้น
"เม็ดเงินลงทุนปีนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อให้สินค้ามีความเป็นลักซ์ชัวรี่ ไฮเอ็น มากขึ้น เพื่อให้สินค้ามีมาร์จิ้นดี และหากมีออเดอร์จากลูกค้าฝั่งยุโรปเข้ามา ซึ่งจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ กำลังการผลิตของบริษัทฯ คงเพียงพอ สำหรับรองรับออเดอร์ดังกล่าว เพราะตอนนี้ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70%" ดร.สมชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 1 ปี 54 คาดว่าจะเติบโตในทิศทางที่ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาพรวมตลาดขยายตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับการขายสินค้าโดยผ่านร้านค้าและโครงการยังเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นทั้งปีนี้คงจะช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 196.25 ล้านบาทได้สำเร็จ ขณะที่บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา และขายสินค้ารุ่นใหม่ในราคาที่ดีขึ้น จึงคาดว่า Gross Profit Margin มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 40%
นอกเหนือจากการมุ่งขยายตลาดส่งออกซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ แล้ว ในปีนี้ STAR ยังให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยการส่งสินค้าใหม่ลงทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการขาย เพื่อให้สินค้า สุขภัณฑ์แบรนด์ Star เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ซึ่งปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทฯ จะจัดให้มีการโรดโชว์สาธิตการใช้สินค้าในกลุ่มประหยัดน้ำโดยตรงกับผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพสินค้า Star มากยิ่งขึ้น และล่าสุดบริษัทฯ ได้นำสินค้าสินค้าสุขภัณฑ์รุ่นใหม่ และยอดนิยมหลายรายการ เข้าร่วมจัดแสดงในงาน HomePro EXPO ที่เมืองทองธานี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศ เชื่อว่าจะช่วยให้สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ ขยับขึ้นไปที่ 40% ได้สำเร็จจากปีก่อนที่ทำได้ 30% ส่วนอนาคตจะขยายให้เพิ่มเป็น 50 ต่อ 50 เพราะตลาดดัวกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตดี ดังนั้น เพื่อรองรับแผนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปีนี้จึงเตรียมทุน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกระแสเงินสดในการดำเนินงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าในระดับไฮเอ็นได้เพิ่มขึ้น
"เม็ดเงินลงทุนปีนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อให้สินค้ามีความเป็นลักซ์ชัวรี่ ไฮเอ็น มากขึ้น เพื่อให้สินค้ามีมาร์จิ้นดี และหากมีออเดอร์จากลูกค้าฝั่งยุโรปเข้ามา ซึ่งจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ กำลังการผลิตของบริษัทฯ คงเพียงพอ สำหรับรองรับออเดอร์ดังกล่าว เพราะตอนนี้ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70%" ดร.สมชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 1 ปี 54 คาดว่าจะเติบโตในทิศทางที่ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาพรวมตลาดขยายตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับการขายสินค้าโดยผ่านร้านค้าและโครงการยังเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นทั้งปีนี้คงจะช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 196.25 ล้านบาทได้สำเร็จ ขณะที่บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา และขายสินค้ารุ่นใหม่ในราคาที่ดีขึ้น จึงคาดว่า Gross Profit Margin มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 40%