ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลยกฟ้อง! อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการแบงก์อาคารสงเคราะห์ ชี้ ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอว่าได้รับประโยชน์อนุมัติปล่อยเงินกู้ระยะยาวให้โครงการก่อสร้างคอนโดฯ แม่รำพึงแลนด์ ที่ทำให้แบงก์เกิดความเสียหาย สูญเสียประโยชน์
วานนี้ (30 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.3129/2552 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสิริวัฒน์ พรหมบุรี เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 21 เม.ย.37 - 5 พ.ย.40 จำเลยเป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ ขณะจำเลยมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง และ บริษัท คริสตัล สแควร์ จำกัด ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท รวมถึงภรรยาจำเลยและผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วยรวม 5 คน เป็นพวกของจำเลย เหตุเกิดที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ธนาคารรับเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ ธนาคารจึงเปิดโครงการดังกล่าวโดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่บริษัทของจำเลย ทั้งในการทำหน้าที่ของจำเลยนั้นถือเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ โดยจำเลยได้ลงนามรับเสนอเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวให้แก่โครงการคริสตัล สแควร์ และโครงการแม่รำพึงแลนด์ ที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียม และจำหน่ายที่ดินแบ่งขายที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นการลงนามไปตามปกติ แต่สุดท้ายแล้วจำเลยไม่ได้แทรกแซงในการอนุมัติโครงการของจำเลยแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท แต่ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ นอกจากนี้ โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ามีความผิดปกติในการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยหรือไม่ หรือการกระทำของจำเลยมีเจตนาพิเศษ ส่วนความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริตนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยไม่ทำให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เสียเปรียบ เสียประโยชน์ ไม่ปรากฏว่า จำเลยมีเจตนาพิเศษ หรือได้รับประโยชน์โดยตรง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด พิพากษายกฟ้อง
วานนี้ (30 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 905 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.3129/2552 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสิริวัฒน์ พรหมบุรี เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 21 เม.ย.37 - 5 พ.ย.40 จำเลยเป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ ขณะจำเลยมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง และ บริษัท คริสตัล สแควร์ จำกัด ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท รวมถึงภรรยาจำเลยและผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วยรวม 5 คน เป็นพวกของจำเลย เหตุเกิดที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ธนาคารรับเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ ธนาคารจึงเปิดโครงการดังกล่าวโดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่บริษัทของจำเลย ทั้งในการทำหน้าที่ของจำเลยนั้นถือเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ โดยจำเลยได้ลงนามรับเสนอเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวให้แก่โครงการคริสตัล สแควร์ และโครงการแม่รำพึงแลนด์ ที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียม และจำหน่ายที่ดินแบ่งขายที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นการลงนามไปตามปกติ แต่สุดท้ายแล้วจำเลยไม่ได้แทรกแซงในการอนุมัติโครงการของจำเลยแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท แต่ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ นอกจากนี้ โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ามีความผิดปกติในการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยหรือไม่ หรือการกระทำของจำเลยมีเจตนาพิเศษ ส่วนความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริตนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยไม่ทำให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เสียเปรียบ เสียประโยชน์ ไม่ปรากฏว่า จำเลยมีเจตนาพิเศษ หรือได้รับประโยชน์โดยตรง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด พิพากษายกฟ้อง
