ASTV ผู้จัดการรายวัน – จับตา! หลากสถานการณ์กระทบภาพรวมอุตฯ รถยนต์ไทย ไม่ว่าจะเป็นสึนามิที่ญี่ปุ่น หากเสียหายมาก ต้องแก้ปัญหานำเข้าชิ้นส่วนจากประเทศอื่น หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ยอม เช่นเดียวกับผู้ผลิตชิ้นส่วนเริ่มมองไต้หวันเป็นแหล่งทดแทน ขณะที่อุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้กระหน่ำตลาดรถซ้ำอีก และยังมาเจอพิษการเมืองในประเทศแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางบางส่วน ถ้าไม่คลี่คลายและรุกลามไปทั่วภูมิภาค สะเทือนส่งออกรถแน่ แค่ปัจจุบันยอดเริ่มวูบ 1 พันคันต่อเดือน
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังเทศกาลสงกรานต์น่าจะมีความชัดเจน ในการตรวจสอบโรงงานผลิตชิ้นส่วนและรถยนต์ที่ญี่ปุ่น ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิมากน้อยเพียงใด ทำให้ขณะนี้จึงยังไม่สามารถระบุผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยได้ โดยปัจจุบันได้มีการลดปริมาณการผลิตลงชั่วคราว หรือยกการทำงานล่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสต็อกชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น ที่มีใช้ไปได้อีกประมาณ 1 เดือน
“หากไม่เสียหายมาก และกลับมาดำเนินการผลิตได้เร็ว จะไม่ทำให้การผลิตรถยนต์ในไทยกระทบ แต่หากได้รับความเสียหายมาก บริษัทรถคงต้องหาชิ้นส่วนจากที่อื่นมาทดแทน อาจจะภายในภูมิภาคเอเชีย หรือต้องนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้ ซึ่งคงไม่ต้องไปดูเรื่องผลกระทบจากต้นทุนแล้ว ขอให้สามารถเดินการผลิตก็เป็นใช้ได้”
ทั้งนี้การนำเข้าจากที่อื่น คงต้องใช้เวลาปรับสักพัก เพราะต้องดูในเรื่องของคุณภาพมาตรฐาน หรือสเปกให้ตรงกับรถที่ผลิตในไทย ซึ่งชิ้นส่วนแม้จะมีการผลิตในหลายประเทศ แต่สเปกที่ผลิตก็จะไม่ตรงกับรถที่ผลิตในไทย อย่างไรก็ตามคิดว่าคงไม่ใช้เวลาสักเท่าไหร่ และไม่ส่งผลต่อการเป้าหมายการผลิตรถในไทยปีนี้ 1.8 ล้านคัน เพียงแต่เดิมอาจจะมีแนวโน้มสามารถผลิตได้มากกว่าที่ประเมินไว้ แต่หากดูสถานการณ์ในปัจจุบันคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
นางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า หากบริษัทรถชะลอหรือลดการผลิตรถยนต์จากเหตุการณ์สึนามิ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยด้วย และไม่ใช่เพียงแค่ต้องชะลอตามบริษัทผู้ผลิตรถ แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเองได้มีการนำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นมาประกอบเช่นกัน
“ผู้ผลิตชิ้นส่วนได้นำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นประมาณปีละ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท แน่นอนหากโรงงานชิ้นส่วนในญี่ปุ่นได้รับความเสียหายมาก ย่อมส่งผลให้การผลิตชิ้นส่วนในไทยบางแห่งมีปัญหาด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังรอดูสถานการณ์ และหากจำเป็นก็อาจจะต้องหาชิ้นส่วนนำเข้าจากที่อื่น อย่างเช่นประเทศไต้หวัน ที่มีคุณภาพหรือมาตรฐานใกล้เคียงมาทดแทนก่อน”
นายศุภรัตน์กล่าวว่า ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมในภาคใต้ เป็นอีกสิ่งที่คงต้องจับตามอง เพราะหากยังไม่คลี่คลาย หรือเกิดสถานการณ์แบบนี้หมุนเวียนตลอดทั้งปี ย่อมส่งผลกระทบต่อยอดขายรถในภาคใต้ และทำให้ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยหายไปบางส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะราคายางพารากำลังมีราคาดี และที่ผ่านมาก็ผลักดันยอดขายรถให้เติบโตได้มาก
“อีกเหตุการณ์ที่ต้องจับตามมอง คือปัญหาการเมืองในประเทศแอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลางบางส่วน ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยบ้างแล้ว ซึ่งหากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย และรุกลามไปยังอีกหลายประเทศในแถบนั้น โดยเฉพาะประเทศอิหร่านและซาอุดิอาระเบีย จะถือเป็นเรื่องใหญ่ต่อการส่งออกรถยนต์จากไทยมาก”
สำหรับปัจจุบันมีการส่งออกรถยนต์จากไทย ไปยังประเทศแถบที่มีประชาชนประท้วงขับไล่ผู้นำรัฐบาลไม่มากนัก หรือประมาณ 10% ของปริมาณการส่งออกรถยนต์จากไทยทั้งหมด ซึ่งคาดว่าปีนี้จะส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคัน แต่หากสถานการณ์รุกลามไปหลายประเทศ ย่อมทำให้การส่งออกลดลงมากตามไปด้วย เพราะแค่สถานการณ์ในลิเบียและบางประเทศที่กำลังมีปัญหา ได้ทำให้การส่งออกรถจากไทยในปัจจุบัน มีจำนวนลดลง 1,000 คันต่อเดือนแล้ว
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังเทศกาลสงกรานต์น่าจะมีความชัดเจน ในการตรวจสอบโรงงานผลิตชิ้นส่วนและรถยนต์ที่ญี่ปุ่น ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิมากน้อยเพียงใด ทำให้ขณะนี้จึงยังไม่สามารถระบุผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยได้ โดยปัจจุบันได้มีการลดปริมาณการผลิตลงชั่วคราว หรือยกการทำงานล่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสต็อกชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น ที่มีใช้ไปได้อีกประมาณ 1 เดือน
“หากไม่เสียหายมาก และกลับมาดำเนินการผลิตได้เร็ว จะไม่ทำให้การผลิตรถยนต์ในไทยกระทบ แต่หากได้รับความเสียหายมาก บริษัทรถคงต้องหาชิ้นส่วนจากที่อื่นมาทดแทน อาจจะภายในภูมิภาคเอเชีย หรือต้องนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้ ซึ่งคงไม่ต้องไปดูเรื่องผลกระทบจากต้นทุนแล้ว ขอให้สามารถเดินการผลิตก็เป็นใช้ได้”
ทั้งนี้การนำเข้าจากที่อื่น คงต้องใช้เวลาปรับสักพัก เพราะต้องดูในเรื่องของคุณภาพมาตรฐาน หรือสเปกให้ตรงกับรถที่ผลิตในไทย ซึ่งชิ้นส่วนแม้จะมีการผลิตในหลายประเทศ แต่สเปกที่ผลิตก็จะไม่ตรงกับรถที่ผลิตในไทย อย่างไรก็ตามคิดว่าคงไม่ใช้เวลาสักเท่าไหร่ และไม่ส่งผลต่อการเป้าหมายการผลิตรถในไทยปีนี้ 1.8 ล้านคัน เพียงแต่เดิมอาจจะมีแนวโน้มสามารถผลิตได้มากกว่าที่ประเมินไว้ แต่หากดูสถานการณ์ในปัจจุบันคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
นางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า หากบริษัทรถชะลอหรือลดการผลิตรถยนต์จากเหตุการณ์สึนามิ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยด้วย และไม่ใช่เพียงแค่ต้องชะลอตามบริษัทผู้ผลิตรถ แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเองได้มีการนำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นมาประกอบเช่นกัน
“ผู้ผลิตชิ้นส่วนได้นำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นประมาณปีละ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท แน่นอนหากโรงงานชิ้นส่วนในญี่ปุ่นได้รับความเสียหายมาก ย่อมส่งผลให้การผลิตชิ้นส่วนในไทยบางแห่งมีปัญหาด้วย ซึ่งขณะนี้กำลังรอดูสถานการณ์ และหากจำเป็นก็อาจจะต้องหาชิ้นส่วนนำเข้าจากที่อื่น อย่างเช่นประเทศไต้หวัน ที่มีคุณภาพหรือมาตรฐานใกล้เคียงมาทดแทนก่อน”
นายศุภรัตน์กล่าวว่า ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมในภาคใต้ เป็นอีกสิ่งที่คงต้องจับตามอง เพราะหากยังไม่คลี่คลาย หรือเกิดสถานการณ์แบบนี้หมุนเวียนตลอดทั้งปี ย่อมส่งผลกระทบต่อยอดขายรถในภาคใต้ และทำให้ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยหายไปบางส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะราคายางพารากำลังมีราคาดี และที่ผ่านมาก็ผลักดันยอดขายรถให้เติบโตได้มาก
“อีกเหตุการณ์ที่ต้องจับตามมอง คือปัญหาการเมืองในประเทศแอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลางบางส่วน ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยบ้างแล้ว ซึ่งหากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย และรุกลามไปยังอีกหลายประเทศในแถบนั้น โดยเฉพาะประเทศอิหร่านและซาอุดิอาระเบีย จะถือเป็นเรื่องใหญ่ต่อการส่งออกรถยนต์จากไทยมาก”
สำหรับปัจจุบันมีการส่งออกรถยนต์จากไทย ไปยังประเทศแถบที่มีประชาชนประท้วงขับไล่ผู้นำรัฐบาลไม่มากนัก หรือประมาณ 10% ของปริมาณการส่งออกรถยนต์จากไทยทั้งหมด ซึ่งคาดว่าปีนี้จะส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคัน แต่หากสถานการณ์รุกลามไปหลายประเทศ ย่อมทำให้การส่งออกลดลงมากตามไปด้วย เพราะแค่สถานการณ์ในลิเบียและบางประเทศที่กำลังมีปัญหา ได้ทำให้การส่งออกรถจากไทยในปัจจุบัน มีจำนวนลดลง 1,000 คันต่อเดือนแล้ว