00 จะเรียก “หนองแตก” ให้เห็นก็เปรียบเทียบกันได้ กับกรณีของ “เฉลิม อยู่บำรุง” ไขก๊กพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปแล้วเมื่อวานนี้( 23 มี.ค.) ทำให้สิ้นสภาพการเป็นผู้แทนฯทันที โดยเหตุผลที่อ้างนั้นบอกว่า “ถูกแทรกแซง” บทบาทในช่วง “ซักฟอก” ที่ผ่านมา มีการพาดพิงไปถึง “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง คนที่ถูกสั่งห้ามยุ่งการเมืองในทำนองว่าเข้ามา “จุ้นจ้าน” จนทำให้เสียกระบวน อะไรประมาณนั้น
00 อย่างไรก็ดีนั่นมันเหตุผล “หน้าฉาก” แต่ของจริงมันเป็นการ “ประท้วง” และเรียกร้องความสนใจจาก “นายใหญ่” คือ ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะรู้ดีว่าตัวเองถูก “ลดความสำคัญ” เพราะคนที่อยู่เมืองนอกเขากำลัง “ดันก้น” ชู “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เห็นได้ชัดจากการสนับสนุนเป็น “ผู้นำ” ในศึกซักฟอก ซึ่งนั่นหมายความว่าได้รับการผลักดันเป็น “ว่าที่นายกฯ(ชั่วคราว)” ได้อีกด้วย
00 เมื่อรูปการเป็นแบบนี้เป็นใครก็ต้อง “หัวเสีย” ระคนน้อยใจ เพราะคนอย่าง “เหลิม” เชื่อมั่นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าใน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในระดับที่เป็นประเภท “แถวสาม” ที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นตัวเองน่าจะถือว่า “โดดเด่น” ที่สุดแต่เมื่อผลออกมาตรงกันข้ามมันก็ต้อง “กระทืบเท้า” ให้เห็นฤทธิ์เดชกันหน่อย และเหตุผลที่ดึงเอาเรื่องของ จาตุรนต์ เข้าเอี่ยวในทำนอง “แส่” การอภิปรายนั้นก็ว่ากันไปเรื่อย
00 อย่างไรก็ดีสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายในพรรคเพื่อไทยเวลานี้อาการ “ร้าวหนัก” และ “ร้าวลึก” แบ่งฝักฝ่ายกันหลายก๊กหลายเหล่า ทุกคนต่างก็ต้องการชูบทบาทให้ “เข้าตา” ทักษิณ ทั้งนั้น แต่เข้าใจหรือไม่ว่าถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าคนพวกนี้เป็นแค่ “ลูกน้อง” ไม่ใช่ “เพื่อน” หรือ ญาติ ทำให้ไม่มีความหมายและขึ้นอยู่กับว่าในบางสถานการณ์จะหยิบขึ้นมาเลือกใช้ใคร ซึ่งคราวนี้ก็เสี่ยงเลือก มิ่งขวัญ เพื่อ “ลวง” เป้าหมายแท้จริงก่อนจะดัน “น้องสาว” คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นตัวจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหากมีการยุบสภา ซึ่งก็น่าติดตามอยู่เหมือนกัน
00 แต่ที่น่าจับตายิ่งกว่าก็เป็นการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาผ่านบันทึก เจบีซีของรัฐบาล 3 ฉบับในวันศุกร์ที่ 25 มี.ค.และที่ให้จับตาก็คือ การเคลื่อนไหวคัดค้านของพันธมิตรฯ จะมาในแนวไหน เพราะกรณีเจบีซีดังกล่าวเป็นประเด็นหลักที่พวกเขาออกมาตากแดดตากฝนประท้วงกันอย่างยืดเยื้อในเวลานี้
00 ถกกันนัดแรกเช่นเดียวกันสำหรับร่างกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ซึ่งประธานวิปรัฐบาล วิทยา แก้วภราดัย ประเมินว่าหากเป็นไปตามขั้นตอนคงจะเสร็จสิ้นในราวกลางเดือนเมษายน นั่นก็หมายความว่าจะมีการยุบสภาในต้นเดือนพ.ค.ตามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยย้ำเอาไว้ และ “เทพเทือก” มาขยายความว่าน่าจะเป็นวันที่ 7-10 พ.ค.แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมด้วยว่าถ้าทุกอย่าง “ฉลุย” ในทางตรงข้ามเกิดมี “ตัวแปร” แทรกซ้อนทำให้ล่าช้ายือดเยื้อออกไป มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
00 ต้องอย่างนี้ซิ ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชัดเจนกับการแสดงจุดยืนขัดขวางไม่ยอมให้อินโดฯเข้ามาจุ้นกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งไม่ยอมให้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่เหมือนกับว่าเข้ามารับรองกัมพูชารุกล้ำแดนไทย รวมทั้งไม่ไปถกจีบีซีในประเทศที่ 3 ซึ่งหมายถึงอินโดฯหรือประเทศใดก็ตาม หากเจรจาก็ต้องเป็นทวิภาคีระหว่างสองประเทศเท่านั้น
00 นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของทหารตามแนวชายแดนทั้งในเรื่องการล้อมรั้วรอบปราสาทพระวิหารให้ชัดเจนและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ก็ถือว่าเป็นความตื่นตัวที่น่าชื่นชม ก็ขอให้ชัดเจนถูกต้องแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะความถูกต้องเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันอย่างดี ไม่ต้องไปสนใจว่ารัฐบาลใหม่จะปลดพ้นเก้าอี้
00 อย่างไรก็ดีนั่นมันเหตุผล “หน้าฉาก” แต่ของจริงมันเป็นการ “ประท้วง” และเรียกร้องความสนใจจาก “นายใหญ่” คือ ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะรู้ดีว่าตัวเองถูก “ลดความสำคัญ” เพราะคนที่อยู่เมืองนอกเขากำลัง “ดันก้น” ชู “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เห็นได้ชัดจากการสนับสนุนเป็น “ผู้นำ” ในศึกซักฟอก ซึ่งนั่นหมายความว่าได้รับการผลักดันเป็น “ว่าที่นายกฯ(ชั่วคราว)” ได้อีกด้วย
00 เมื่อรูปการเป็นแบบนี้เป็นใครก็ต้อง “หัวเสีย” ระคนน้อยใจ เพราะคนอย่าง “เหลิม” เชื่อมั่นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าใน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในระดับที่เป็นประเภท “แถวสาม” ที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นตัวเองน่าจะถือว่า “โดดเด่น” ที่สุดแต่เมื่อผลออกมาตรงกันข้ามมันก็ต้อง “กระทืบเท้า” ให้เห็นฤทธิ์เดชกันหน่อย และเหตุผลที่ดึงเอาเรื่องของ จาตุรนต์ เข้าเอี่ยวในทำนอง “แส่” การอภิปรายนั้นก็ว่ากันไปเรื่อย
00 อย่างไรก็ดีสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายในพรรคเพื่อไทยเวลานี้อาการ “ร้าวหนัก” และ “ร้าวลึก” แบ่งฝักฝ่ายกันหลายก๊กหลายเหล่า ทุกคนต่างก็ต้องการชูบทบาทให้ “เข้าตา” ทักษิณ ทั้งนั้น แต่เข้าใจหรือไม่ว่าถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าคนพวกนี้เป็นแค่ “ลูกน้อง” ไม่ใช่ “เพื่อน” หรือ ญาติ ทำให้ไม่มีความหมายและขึ้นอยู่กับว่าในบางสถานการณ์จะหยิบขึ้นมาเลือกใช้ใคร ซึ่งคราวนี้ก็เสี่ยงเลือก มิ่งขวัญ เพื่อ “ลวง” เป้าหมายแท้จริงก่อนจะดัน “น้องสาว” คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นตัวจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหากมีการยุบสภา ซึ่งก็น่าติดตามอยู่เหมือนกัน
00 แต่ที่น่าจับตายิ่งกว่าก็เป็นการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาผ่านบันทึก เจบีซีของรัฐบาล 3 ฉบับในวันศุกร์ที่ 25 มี.ค.และที่ให้จับตาก็คือ การเคลื่อนไหวคัดค้านของพันธมิตรฯ จะมาในแนวไหน เพราะกรณีเจบีซีดังกล่าวเป็นประเด็นหลักที่พวกเขาออกมาตากแดดตากฝนประท้วงกันอย่างยืดเยื้อในเวลานี้
00 ถกกันนัดแรกเช่นเดียวกันสำหรับร่างกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ซึ่งประธานวิปรัฐบาล วิทยา แก้วภราดัย ประเมินว่าหากเป็นไปตามขั้นตอนคงจะเสร็จสิ้นในราวกลางเดือนเมษายน นั่นก็หมายความว่าจะมีการยุบสภาในต้นเดือนพ.ค.ตามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยย้ำเอาไว้ และ “เทพเทือก” มาขยายความว่าน่าจะเป็นวันที่ 7-10 พ.ค.แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมด้วยว่าถ้าทุกอย่าง “ฉลุย” ในทางตรงข้ามเกิดมี “ตัวแปร” แทรกซ้อนทำให้ล่าช้ายือดเยื้อออกไป มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
00 ต้องอย่างนี้ซิ ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชัดเจนกับการแสดงจุดยืนขัดขวางไม่ยอมให้อินโดฯเข้ามาจุ้นกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งไม่ยอมให้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่เหมือนกับว่าเข้ามารับรองกัมพูชารุกล้ำแดนไทย รวมทั้งไม่ไปถกจีบีซีในประเทศที่ 3 ซึ่งหมายถึงอินโดฯหรือประเทศใดก็ตาม หากเจรจาก็ต้องเป็นทวิภาคีระหว่างสองประเทศเท่านั้น
00 นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของทหารตามแนวชายแดนทั้งในเรื่องการล้อมรั้วรอบปราสาทพระวิหารให้ชัดเจนและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ก็ถือว่าเป็นความตื่นตัวที่น่าชื่นชม ก็ขอให้ชัดเจนถูกต้องแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะความถูกต้องเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันอย่างดี ไม่ต้องไปสนใจว่ารัฐบาลใหม่จะปลดพ้นเก้าอี้