00 กำลังสนองคุณนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าเต็มเปาแล้ว หลังจาก “หัวโจกแดง” ได้รับการปล่อยตัวตามแผนปาหี่-ปรองดองแห่งชาติ เพราะล่าสุดได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะเดินหน้าชุมนุม “คู่ขนาน” กันไปพร้อมกับเกมภายในสภาของพรรคเพื่อไทย โดยนัดชุมนุมครั้งต่อไปวันที่ 22 มีนาคม จากนั้นก็จะมีต่อเนื่องวันที่ 29 เดือนเดียวกัน
00 ไม่รู้ว่าคิดเอง หรือว่าไปหลงลม สุเทพ เทือกสุบรรณ ให้เล่นตามเกม “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้าไปการันตีกับศาลจนได้ประกัน แต่แทนที่จะออกมาปรองดองตามคาด ทุกอย่างทำท่ากลับตาลปัตร จากเดิมที่ฝันเอาไว้ว่าจะใช้แผน “ยืมดาบฆ่าคน” นั่นคือ ปล่อยออกมาเพื่อให้มาชนกับ “สีเขียว” หลังจากในตอนนั้นมี “กลิ่นปฏิวัติ” แรงขึ้นทุกที รวมทั้งให้มาป่วนกับ “เหลือง” แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ได้เดินไปตามเกมที่วางเอาไว้ คนอื่นเขาก็ “รู้ทัน” เหมือนกัน กลายเป็นว่า เวลานี้รัฐบาลขยับไปไหนก็ไม่ออก ติดอยู่กับที่
00 การประกาศยุบสภาล่วงหน้า แทนที่จะได้เสียงตอบรับ แต่พอเอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่ก็ยังเฉยๆ ไม่ฮือฮา เพราะรู้ทันอีกว่านี่คือ แผนสลายแรงกดดันจากรอบข้างทุกทางคนก็รู้ทันอีก เข้าลักษณะ “วรนุชไป จังไรมา” เพราะขนาด “แม้ว-เสื้อแดง” ที่ก่อนหน้านี้อยากให้ยุบวันนี้ พรุ่งนี้ กลับยังอยากยื้อไปอีกสักระยะ จะถือโอกาสช่วงเวลาที่เหลือไม่มากหวัง “นวดให้น่วม” ก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพราะจะได้มีโอกาสชนะกลับมาแบบถล่มทลายอีกรอบ
00 ถามว่าสภาพแบบนี้ อภิสิทธิ์ กับพรรคประชาธิปัตย์ จะได้กลับมาเป็นเสียงข้างมากหรือ เมื่อพิจารณาทั้งบรรยากาศ เงื่อนไขทั้งภายในภายนอก ที่ “เงียบฉี่” ไม่มีเสียงตื่นเต้นตอบรับ อย่างน้อย “กระแส” แบบ “ฟีเวอร์” ยังมองไม่เห็น ขนาดบริหารประเทศมากว่าสองปี จากผลสำรวจล่าสุดคะแนนนิยมของพรรค ปชป. ยังได้แค่ร้อยละ 17 กว่าๆ เมื่อเทียบกับเพื่อไทยที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์จลาจลเผาเมือง ก็ได้รับความนิยมตามหลังแบบสูสีหายใจรดต้นคอ มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
00 คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดยามนี้อีกคนหนึ่งคงหนีไม่พ้นอธิบดี ดีเอสไอ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ที่แม้ทำงานจริงจัง ทุ่มเทเต็มร้อยกับคดี “ก่อการร้าย” เหมือนกับว่าเดินหน้าไปเต็มเหนี่ยว โดยไม่เฉลียวใจว่า เวลานี้ตัวเองกลายเป็น “หมาก” ที่กำลัง “ถูกทิ้ง” ไว้ข้างกระดาน เพราะฝ่ายการเมืองกำลัง “กลับลำ” เปลี่ยนแนวหาทางปรองดองกันใหม่ มิหนำซ้ำแนวโน้มหลังการเลือกตั้งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ซึ่งดูตามรูปการแล้วมีโอกาสสูงเสียด้วย ลองคิดถึงอนาคตก็แล้วกันว่าจะลงเอยอย่างไร แต่นาทีนี้ถ้าให้สรุป สำหรับ ธาริต ยังเป็นคนดี ถือว่า “ใช้ได้” แต่ปัญหาก็คือไปทุ่มเททำงานให้ “ผิดคน” ก็ได้แต่เสียดาย
00 ชอบอ้างอิงเปรียบเทียบกันจริง ไม่ว่าพวกเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่อง “สองมาตรฐาน” ใน “คดีก่อการร้าย” มักยกตัวอย่างว่า แกนนำพันธมิตรฯ โดนคดีก่อการร้ายเหมือนกัน ทำไม่ได้รับการปล่อยตัวเหมือนหัวโจกเสื้อแดง ก็ต้องตอบว่าใช่ เขียนสะกดเหมือนกัน แต่ประเด็นก็คือ “พฤติการณ์แห่งคดี” มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
00 การชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองนั้น ถามว่าได้เกิดการ “เผา” หรือไม่ มีการยุยงให้เผา ทำลายข้าวของหรือไม่ ได้ทำลายทุบกระจกสนามบินหรือไม่ มีการข่มขู่คุกคามผู้โดยสาร หรือเจ้าหน้าที่หรือไม่ ก็เปล่าเลย มีแต่ผู้ชุมนุมถูกซุ่มยิงจนเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก และสังเกตหรือไม่ หลังจากยุติการชุมนุม เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น สนามบินก็เปิดใช้ได้ตามปกติทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากพูดตามความจริงแล้วสามารถเปิดใช้ได้ทันที หลังจากการชุมนุมสลายตัวไปแล้ว อ้อที่สำคัญข้อหาก่อการร้ายนั้น เป็นการตั้งขึ้นมาโดยตำรวจที่รับใช้การเมือง ให้ “เว่อร์” เกินจริงเข้าไว้ นี่แหละคือคำอธิบายว่า ทำไม ผู้ก่อการร้ายถึงต้องมี “สองมาตรฐาน” ทุด !!
00 ไม่รู้ว่าคิดเอง หรือว่าไปหลงลม สุเทพ เทือกสุบรรณ ให้เล่นตามเกม “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้าไปการันตีกับศาลจนได้ประกัน แต่แทนที่จะออกมาปรองดองตามคาด ทุกอย่างทำท่ากลับตาลปัตร จากเดิมที่ฝันเอาไว้ว่าจะใช้แผน “ยืมดาบฆ่าคน” นั่นคือ ปล่อยออกมาเพื่อให้มาชนกับ “สีเขียว” หลังจากในตอนนั้นมี “กลิ่นปฏิวัติ” แรงขึ้นทุกที รวมทั้งให้มาป่วนกับ “เหลือง” แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ได้เดินไปตามเกมที่วางเอาไว้ คนอื่นเขาก็ “รู้ทัน” เหมือนกัน กลายเป็นว่า เวลานี้รัฐบาลขยับไปไหนก็ไม่ออก ติดอยู่กับที่
00 การประกาศยุบสภาล่วงหน้า แทนที่จะได้เสียงตอบรับ แต่พอเอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่ก็ยังเฉยๆ ไม่ฮือฮา เพราะรู้ทันอีกว่านี่คือ แผนสลายแรงกดดันจากรอบข้างทุกทางคนก็รู้ทันอีก เข้าลักษณะ “วรนุชไป จังไรมา” เพราะขนาด “แม้ว-เสื้อแดง” ที่ก่อนหน้านี้อยากให้ยุบวันนี้ พรุ่งนี้ กลับยังอยากยื้อไปอีกสักระยะ จะถือโอกาสช่วงเวลาที่เหลือไม่มากหวัง “นวดให้น่วม” ก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพราะจะได้มีโอกาสชนะกลับมาแบบถล่มทลายอีกรอบ
00 ถามว่าสภาพแบบนี้ อภิสิทธิ์ กับพรรคประชาธิปัตย์ จะได้กลับมาเป็นเสียงข้างมากหรือ เมื่อพิจารณาทั้งบรรยากาศ เงื่อนไขทั้งภายในภายนอก ที่ “เงียบฉี่” ไม่มีเสียงตื่นเต้นตอบรับ อย่างน้อย “กระแส” แบบ “ฟีเวอร์” ยังมองไม่เห็น ขนาดบริหารประเทศมากว่าสองปี จากผลสำรวจล่าสุดคะแนนนิยมของพรรค ปชป. ยังได้แค่ร้อยละ 17 กว่าๆ เมื่อเทียบกับเพื่อไทยที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์จลาจลเผาเมือง ก็ได้รับความนิยมตามหลังแบบสูสีหายใจรดต้นคอ มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
00 คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดยามนี้อีกคนหนึ่งคงหนีไม่พ้นอธิบดี ดีเอสไอ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ที่แม้ทำงานจริงจัง ทุ่มเทเต็มร้อยกับคดี “ก่อการร้าย” เหมือนกับว่าเดินหน้าไปเต็มเหนี่ยว โดยไม่เฉลียวใจว่า เวลานี้ตัวเองกลายเป็น “หมาก” ที่กำลัง “ถูกทิ้ง” ไว้ข้างกระดาน เพราะฝ่ายการเมืองกำลัง “กลับลำ” เปลี่ยนแนวหาทางปรองดองกันใหม่ มิหนำซ้ำแนวโน้มหลังการเลือกตั้งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ซึ่งดูตามรูปการแล้วมีโอกาสสูงเสียด้วย ลองคิดถึงอนาคตก็แล้วกันว่าจะลงเอยอย่างไร แต่นาทีนี้ถ้าให้สรุป สำหรับ ธาริต ยังเป็นคนดี ถือว่า “ใช้ได้” แต่ปัญหาก็คือไปทุ่มเททำงานให้ “ผิดคน” ก็ได้แต่เสียดาย
00 ชอบอ้างอิงเปรียบเทียบกันจริง ไม่ว่าพวกเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่อง “สองมาตรฐาน” ใน “คดีก่อการร้าย” มักยกตัวอย่างว่า แกนนำพันธมิตรฯ โดนคดีก่อการร้ายเหมือนกัน ทำไม่ได้รับการปล่อยตัวเหมือนหัวโจกเสื้อแดง ก็ต้องตอบว่าใช่ เขียนสะกดเหมือนกัน แต่ประเด็นก็คือ “พฤติการณ์แห่งคดี” มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
00 การชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองนั้น ถามว่าได้เกิดการ “เผา” หรือไม่ มีการยุยงให้เผา ทำลายข้าวของหรือไม่ ได้ทำลายทุบกระจกสนามบินหรือไม่ มีการข่มขู่คุกคามผู้โดยสาร หรือเจ้าหน้าที่หรือไม่ ก็เปล่าเลย มีแต่ผู้ชุมนุมถูกซุ่มยิงจนเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก และสังเกตหรือไม่ หลังจากยุติการชุมนุม เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น สนามบินก็เปิดใช้ได้ตามปกติทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากพูดตามความจริงแล้วสามารถเปิดใช้ได้ทันที หลังจากการชุมนุมสลายตัวไปแล้ว อ้อที่สำคัญข้อหาก่อการร้ายนั้น เป็นการตั้งขึ้นมาโดยตำรวจที่รับใช้การเมือง ให้ “เว่อร์” เกินจริงเข้าไว้ นี่แหละคือคำอธิบายว่า ทำไม ผู้ก่อการร้ายถึงต้องมี “สองมาตรฐาน” ทุด !!