ASTVผู้จัดการรายวัน – กลุ่มทุนธุรกิจสื่อสาร “วิไลลักษณ์” เดินหน้าพัฒนาอสังหาฯแบบครบวงจร คอนโดฯ บ้าน และโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยว แบ่งธุรกิจขาย-เช่า ล่าสุดทุ่มงบ 800 ล้านบาทเปิดภูผาธารา เขาใหญ่ บ้านหรู 6-9 ล้านบาท เผยขายแล้ว 40 ยูนิตตอกย้ำความต้องการยังมี ตั้งเป้ารายได้ 900 ล้านบาท พร้อมเตรียมซื้อที่ดินกทม.โซนเหนือพัฒนาต่อในปี 55
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วิไลลักษณ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ในอีก 5 ปี จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจร โดยใช้กลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าที่มีความแตกต่าง และโดดเด่น ในตลาดเฉพาะ (Niche Product) และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและการลงทุน บริษัทจึงแบ่งสายธุรกิจออกเป็น 2 สายงาน
1. สายการพัฒนาสินทรัพย์เพื่อขาย ปัจจุบันมีแบรนด์ “ภูผาธารา” เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างโครงการสำหรับพักผ่อนตากอากาศ โดยเลือกลงทุนในพื้นที่ที่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 200 กิโลเมตร หรือใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง โดยใช้จุด การเป็นโครงการ Mix Use คือมีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านพักและโรงแรมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งการมีโรงแรมอยู่ในพื้นที่จะช่วยเติมเต็มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่มาพักอาศัย และยังเพิ่มมูลค่าของที่ดินในอนาคต
ล่าสุด เปิดโครงการภูผาธารา เขาใหญ่ บนที่ดิน 70 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 90 ยูนิต ระดับราคา 5.9-9 ล้านบาทและโรงแรม ประกอบด้วย 2 รูปแบบเป็นอาคารสูง 2 ชั้นจำนวน 60 ห้อง และวิลล่าอีกจำนวน 20 หลัง ด้วยศักยภาพของที่ดินติดเนินเขาและทะเลสาบพื้นที่กว่า 14 ไร่จึงพัฒนาบ้านรายล้อมด้วยน้ำ ส่วนโรงแรมนั้นจะใช้เชนไทยที่อยู่ในระดับอินเตอร์ ค่าห้องพักตั้งแต่ 4,000 บาท/คืน ขึ้นไป ส่วนวิลล่าตั้งแต่ 10,000 บาท/คืนขึ้นไป นอกจากนี้ยังเตรียมแคมเปญไทม์แชร์ริ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการนำบ้านพักให้โรงแรมบริหารให้อีกด้วย สำหรับเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในส่วนบ้านเดี่ยว 400-500 ล้านบาทและโรงแรม 300 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วเกือบ 40 ยูนิต
“ปัจจุบันเขาใหญ่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของคนไทย ทำให้มีความต้องการบ้านตากอากาศที่เขาใหญ่มากขึ้น ดูได้จากยอดขายโครงการแม้ยังไม่เปิดขายอย่างเป็นทางการ แต่มียอดจองบ้านแล้วเกือบ 40 ยูนิต”
นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้าที่จะลงทุนที่พักอาศัยในเมืองด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาในหลายๆโลเคชั่น และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินกว่า 100 ไร่ด้านโซนเหนือกรุงเทพรวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการว่าจะพัฒนาในรูปแบบใด
ส่วนสายธุรกิจที่ 2 สายธุรกิจสินทรัพย์เพื่อเช่า ทำหน้าที่เป็นเจ้าของอาคารสำนักงาน โรงแรม และเลือกเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงมาบริหารงานในระยะยาว ปัจจุบันมีโครงการซอฟแวร์ พาร์ค ที่สร้างรายได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท และอนาคตมีแผนจะลงทุนอาคารสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง
ด้านโครงการ “ภูผาธารา” จ.ระยอง ซึ่งเป็นโครงการ Mix Use เช่นกัน ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม วิลลา และโรงแรมแมริออทจำนวน 200 ห้อง รวมมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 85% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในสิ้นปีนี้ ในส่วนของโรงแรมจะสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้เช่นกัน
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 900 ล้านบาท จากโครงการภูผาธารา ระยอง เพียงแห่งเดียว และปีนี้คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ใกล้เคียงกัน โดยมียอดขายคอนโดฯอีก 1 อาคารมูลค่า 400 ล้านบาทมารับรู้ในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการเขาใหญ่ในส่วนของบ้านเดี่ยวอีกประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากโรงแรมแมริออทจะเริ่มเข้ามาในปี 55 และที่เขาใหญ่จะเปิดให้บริการในปี 55 คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณปี 56 ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะลงทุนในโรงแรมเพิ่มอีก 1 แห่ง ทั้งในรูปแบบซื้อกิจการและลงทุนพัฒนาใหม่ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วิไลลักษณ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ในอีก 5 ปี จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจร โดยใช้กลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าที่มีความแตกต่าง และโดดเด่น ในตลาดเฉพาะ (Niche Product) และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและการลงทุน บริษัทจึงแบ่งสายธุรกิจออกเป็น 2 สายงาน
1. สายการพัฒนาสินทรัพย์เพื่อขาย ปัจจุบันมีแบรนด์ “ภูผาธารา” เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างโครงการสำหรับพักผ่อนตากอากาศ โดยเลือกลงทุนในพื้นที่ที่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 200 กิโลเมตร หรือใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง โดยใช้จุด การเป็นโครงการ Mix Use คือมีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านพักและโรงแรมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งการมีโรงแรมอยู่ในพื้นที่จะช่วยเติมเต็มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่มาพักอาศัย และยังเพิ่มมูลค่าของที่ดินในอนาคต
ล่าสุด เปิดโครงการภูผาธารา เขาใหญ่ บนที่ดิน 70 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 90 ยูนิต ระดับราคา 5.9-9 ล้านบาทและโรงแรม ประกอบด้วย 2 รูปแบบเป็นอาคารสูง 2 ชั้นจำนวน 60 ห้อง และวิลล่าอีกจำนวน 20 หลัง ด้วยศักยภาพของที่ดินติดเนินเขาและทะเลสาบพื้นที่กว่า 14 ไร่จึงพัฒนาบ้านรายล้อมด้วยน้ำ ส่วนโรงแรมนั้นจะใช้เชนไทยที่อยู่ในระดับอินเตอร์ ค่าห้องพักตั้งแต่ 4,000 บาท/คืน ขึ้นไป ส่วนวิลล่าตั้งแต่ 10,000 บาท/คืนขึ้นไป นอกจากนี้ยังเตรียมแคมเปญไทม์แชร์ริ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการนำบ้านพักให้โรงแรมบริหารให้อีกด้วย สำหรับเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในส่วนบ้านเดี่ยว 400-500 ล้านบาทและโรงแรม 300 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วเกือบ 40 ยูนิต
“ปัจจุบันเขาใหญ่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของคนไทย ทำให้มีความต้องการบ้านตากอากาศที่เขาใหญ่มากขึ้น ดูได้จากยอดขายโครงการแม้ยังไม่เปิดขายอย่างเป็นทางการ แต่มียอดจองบ้านแล้วเกือบ 40 ยูนิต”
นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้าที่จะลงทุนที่พักอาศัยในเมืองด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาในหลายๆโลเคชั่น และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินกว่า 100 ไร่ด้านโซนเหนือกรุงเทพรวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการว่าจะพัฒนาในรูปแบบใด
ส่วนสายธุรกิจที่ 2 สายธุรกิจสินทรัพย์เพื่อเช่า ทำหน้าที่เป็นเจ้าของอาคารสำนักงาน โรงแรม และเลือกเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงมาบริหารงานในระยะยาว ปัจจุบันมีโครงการซอฟแวร์ พาร์ค ที่สร้างรายได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท และอนาคตมีแผนจะลงทุนอาคารสำนักงานเพิ่มอีก 1 แห่ง
ด้านโครงการ “ภูผาธารา” จ.ระยอง ซึ่งเป็นโครงการ Mix Use เช่นกัน ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม วิลลา และโรงแรมแมริออทจำนวน 200 ห้อง รวมมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 85% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในสิ้นปีนี้ ในส่วนของโรงแรมจะสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้เช่นกัน
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 900 ล้านบาท จากโครงการภูผาธารา ระยอง เพียงแห่งเดียว และปีนี้คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ใกล้เคียงกัน โดยมียอดขายคอนโดฯอีก 1 อาคารมูลค่า 400 ล้านบาทมารับรู้ในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการเขาใหญ่ในส่วนของบ้านเดี่ยวอีกประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากโรงแรมแมริออทจะเริ่มเข้ามาในปี 55 และที่เขาใหญ่จะเปิดให้บริการในปี 55 คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณปี 56 ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะลงทุนในโรงแรมเพิ่มอีก 1 แห่ง ทั้งในรูปแบบซื้อกิจการและลงทุนพัฒนาใหม่ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม