ASTVผู้จัดการรายวัน – โบอิ้ง ใช้วิกฤตเป็นโอกาส คาดสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับสูงต่อเนื่องปีนี้ดันต้นทุนเพิ่มอีก หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ชู 3 แนวทางแก้ปัญหาให้ธุรกิจสายการบิน แนะใช้เครื่องบินใหม่ ที่ประหยัดเชื้อเพลิงลดมลภาวะ เผยแนวโน้ม 20 ปีข้างหน้าจำนวนเครื่องบินพาณิชย์ทั่วโลกโตเพิ่ม 2 เท่า บินลงพื้นที่เอเชียโตกระโดด 3 เท่าชนะ อเมริกาเหนือ
นายแรนดี้ ทินเซ็ธ รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท โบอิ้ง คอมเมอร์เชียล แอร์เพลน จำกัด ผู้ผลิตเครื่องบิน “โบอิ้ง “ เปิดเผยว่า กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้บริษัทคาดการณ์ว่า ต้นทุนน้ำมันเชื้องเพลิงเพื่อใช้ในเครื่องบินพาณิชย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้บริษัท เห็นโอกาสทางการตลาด โดยจะนำเสนอ 3 แนวทางที่จะเป็น โอกาสทำกำไรให้แก่ธุรกิจการบินแม้ในสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับตราคาสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึงอนาคต
ทั้งนี้ ใน 3 แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย การเลือกประสิทธิภาพของเครื่องบินเพื่อลดค่าเชื้อเพลิงน้ำมัน , การปรับเพิ่มราคาค่าโดยสารที่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเก็งกำไรน้ำมัน โดยประเด็นการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องบิน จะเป็นแนวนโยบายที่บริษัท จะนำเสนอให้แก่ลูกค้าเพื่อการตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องบินของโบอิ้ง
สำหรับการประเมินอนาคตธุรกิจการบินพาณิชย์ ในช่วง 20 ปี(2552-2572) มองว่าผู้ประกอบการธุรกิจสายการบินทั่วโลกจะทยอยสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ รวมประมาณ 30,900 ลำ รวมมูลค่า 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 108 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 44% ซื้อเพื่อใช้แทนเครื่องบินเก่า และอีก 56% เครื่องบินที่จะเพิ่มขึ้นใหม่ ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เครื่องบินพาณิชย์ทั่วโลกจะขยายตัว 2 เท่าจาก 18,890 ลำในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 36,300 ลำ
ตัวเลขดังกล่าว ได้สอดคล้องกับสิ่งที่คาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า จีดีพีเศรษฐกิจของโลก จะขยายตัว 3.2% ฝูงบินจะเติบโต 3.3% ปริมาณผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้น 4.2% อัตราเดินทางเพิ่มขึ้น 5.3% การขนส่งทางอากาศเพิ่มขึ้น 5.9% โดยมีการคาดการแบ่งตามภูมิภาคด้วยว่า การเดินทางโดยเครื่องบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะขยายตัว 6.9% มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ 4.3% เป็นการเติบโตกว่าภูมิภาคอื่นๆในโลก ขณะที่การเพิ่มขึ้นของเครื่องบินพาณิชย์อีก 18,890 ลำ แบ่งเป็น ซื้อเครื่องบินใหม่ในเอเชีย 2,500 ลำ รวมเงิน 370,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 11.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบถึง 3 เท่าจากปัจจุบัน สูงกว่าการเติบโตในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งเคยมีการเติบโตที่ 2.8% แต่อีก 2 ปีนับจากนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเติบโต 7.1%
ปัจจุบันสัดส่วนเครื่องบินจากทั่วโลกบินลงประเทศในเอเชียที่ 33% จะปรับเพิ่ม 44% ส่วนเครื่องบินที่บินลงยุโรปและอเมริกาเหนือคิดเป็น 72% ปรับลดเหลือ 58% ในปัจจุบันและจะลดลงเหลือ 45% ในอนาคต
สำหรับโบอิ้ง มีแผนพัฒนาเครื่องบินให้สอดคล้องกับปัจจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะความผันผวนด้านราคาเชื้อเพลิง และการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อลดการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 1.5% ลดการใช้เชื้อเพลิง เพื่อขอมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการดูแลสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดโบอิ้ง ประกาศ เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องบินโบอิ้งตระกูล 777 และ737 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และเน้นการส่งมอบเครื่องบินลำใหม่ล่าสุด 787ดรีมไลน์เนอร์ และเครื่องบินขนส่ง 747-8 และ 747-8 อินเตอร์คอนติเนนตัล สิ้นไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 มีคำสั่งซื้อเครื่องบินที่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตอีก 3,443 ลำ รวมมูลค่า 256,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7.68 ล้านล้านบาท โดยสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มีเครื่องบินรอส่งมอบอีก 676 ลำ คิดเป็น 6.5% ของจำนวนเครื่องบินทั้งหมดของภูมิภาคนี้ที่จะสั่งซื้อใน 20 ปีหลังจากนี้ สำหรับประเทศไทย มีลูกค้าหลัก คือ การบินไทย นกแอร์ และโอเรียนไทย
นายแรนดี้ ทินเซ็ธ รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท โบอิ้ง คอมเมอร์เชียล แอร์เพลน จำกัด ผู้ผลิตเครื่องบิน “โบอิ้ง “ เปิดเผยว่า กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้บริษัทคาดการณ์ว่า ต้นทุนน้ำมันเชื้องเพลิงเพื่อใช้ในเครื่องบินพาณิชย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะปรับตัวขึ้นไปแตะที่ระดับ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้บริษัท เห็นโอกาสทางการตลาด โดยจะนำเสนอ 3 แนวทางที่จะเป็น โอกาสทำกำไรให้แก่ธุรกิจการบินแม้ในสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับตราคาสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึงอนาคต
ทั้งนี้ ใน 3 แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย การเลือกประสิทธิภาพของเครื่องบินเพื่อลดค่าเชื้อเพลิงน้ำมัน , การปรับเพิ่มราคาค่าโดยสารที่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเก็งกำไรน้ำมัน โดยประเด็นการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องบิน จะเป็นแนวนโยบายที่บริษัท จะนำเสนอให้แก่ลูกค้าเพื่อการตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องบินของโบอิ้ง
สำหรับการประเมินอนาคตธุรกิจการบินพาณิชย์ ในช่วง 20 ปี(2552-2572) มองว่าผู้ประกอบการธุรกิจสายการบินทั่วโลกจะทยอยสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ รวมประมาณ 30,900 ลำ รวมมูลค่า 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 108 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 44% ซื้อเพื่อใช้แทนเครื่องบินเก่า และอีก 56% เครื่องบินที่จะเพิ่มขึ้นใหม่ ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เครื่องบินพาณิชย์ทั่วโลกจะขยายตัว 2 เท่าจาก 18,890 ลำในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 36,300 ลำ
ตัวเลขดังกล่าว ได้สอดคล้องกับสิ่งที่คาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า จีดีพีเศรษฐกิจของโลก จะขยายตัว 3.2% ฝูงบินจะเติบโต 3.3% ปริมาณผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้น 4.2% อัตราเดินทางเพิ่มขึ้น 5.3% การขนส่งทางอากาศเพิ่มขึ้น 5.9% โดยมีการคาดการแบ่งตามภูมิภาคด้วยว่า การเดินทางโดยเครื่องบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะขยายตัว 6.9% มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ 4.3% เป็นการเติบโตกว่าภูมิภาคอื่นๆในโลก ขณะที่การเพิ่มขึ้นของเครื่องบินพาณิชย์อีก 18,890 ลำ แบ่งเป็น ซื้อเครื่องบินใหม่ในเอเชีย 2,500 ลำ รวมเงิน 370,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 11.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบถึง 3 เท่าจากปัจจุบัน สูงกว่าการเติบโตในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งเคยมีการเติบโตที่ 2.8% แต่อีก 2 ปีนับจากนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเติบโต 7.1%
ปัจจุบันสัดส่วนเครื่องบินจากทั่วโลกบินลงประเทศในเอเชียที่ 33% จะปรับเพิ่ม 44% ส่วนเครื่องบินที่บินลงยุโรปและอเมริกาเหนือคิดเป็น 72% ปรับลดเหลือ 58% ในปัจจุบันและจะลดลงเหลือ 45% ในอนาคต
สำหรับโบอิ้ง มีแผนพัฒนาเครื่องบินให้สอดคล้องกับปัจจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะความผันผวนด้านราคาเชื้อเพลิง และการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อลดการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 1.5% ลดการใช้เชื้อเพลิง เพื่อขอมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการดูแลสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดโบอิ้ง ประกาศ เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องบินโบอิ้งตระกูล 777 และ737 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และเน้นการส่งมอบเครื่องบินลำใหม่ล่าสุด 787ดรีมไลน์เนอร์ และเครื่องบินขนส่ง 747-8 และ 747-8 อินเตอร์คอนติเนนตัล สิ้นไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 มีคำสั่งซื้อเครื่องบินที่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตอีก 3,443 ลำ รวมมูลค่า 256,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7.68 ล้านล้านบาท โดยสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มีเครื่องบินรอส่งมอบอีก 676 ลำ คิดเป็น 6.5% ของจำนวนเครื่องบินทั้งหมดของภูมิภาคนี้ที่จะสั่งซื้อใน 20 ปีหลังจากนี้ สำหรับประเทศไทย มีลูกค้าหลัก คือ การบินไทย นกแอร์ และโอเรียนไทย
