นายกฯ มาร์ค..กำลังตัดสินใจ..ยุบสภา..หนี..อะไรบางอย่าง???!!!
กว่า 2 ปีที่ผ่านมา..รัฐบาลและตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้กระทำแต่เรื่องไม่ควรทำ..แต่เสือกทำ เรื่องที่ควรจะกระทำ..กลับดันไม่ยอมทำ!
แถมรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังบริหารชาติอย่างไร้คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม มุ่งแต่แสวงหาอำนาจทางการเมือง และผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง ถึงขนาดบังอาจยกดินแดนไทยให้ชาติเขมรอย่างหน้าตาเฉย
ด้วยการยอมรับ MOU 2543 ที่มีแผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารเขมรใช้เป็นข้ออ้างยกกองกำลังเข้ามายึดภูมะเขือ-ตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัด-สร้างถนนขนอาวุธ ฯลฯ โดยรัฐบาลชวนจรดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่เคยแยแสต่อการกระทำชั่วของทหารเขมรเลย
อีกทั้งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และรมต.ว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เดินทางไปเจรจาถึงบ้านของนายฮุนเซน ณ กรุงพนมเปญ ก่อนที่ “จรกาตาโปน” จะให้สัมภาษณ์อย่างหน้าตาเฉยว่า
อย่ามัวทะเลาะกันแค่ที่ดิน (4.6 ตร.กม.) เท่าแมวดิ้นตายเลย ไปหาประโยชน์น้ำมันในทะเล (ไทย-กัมพูชา) กันดีกว่า!
การเสียดินแดนไทยให้ชาติเขมรตำตาตำใจ ทำให้ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินไทย อดรนทนไม่ไหวจนต้องออกมาชุมนุมกัน ณ สะพานมัฆวานฯ เพื่อเปิดเผย-เปิดโปงการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จงใจสมยอมให้ชาติไทยเสียดินแดนให้ชาติเขมร
โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และผลักดันทหารเขมรทั้งหมดออกจากดินแดนไทยโดยด่วน!
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับไม่แยแส แถมยังหลับหูหลับตาเดินเกมการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบเขมรฮุนเซนต่อไป จนไทยต้องเสียดินแดนทางพฤติกรรมไปแล้ว เบื้องต้น 4.6 ตร.กม.และกำลังจะสูญเสียดินแดนอีก 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งผลประโยชน์น้ำมันใต้ทะเล ที่มีมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาทในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนั้น..รัฐบาลอภิสิทธิ์-ยังเป็นตัวการโกงกินบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นตัวการทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะทำให้เกิดยุค “ข้าวยาก-หมากแพง” จนน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชขาดแคลนและแพงหูฉี่ เนื่องจากมีคนในรัฐบาลอภิสิทธิ์ แอบทำมาหากินกับน้ำมันปาล์มจนพุงกางไงล่ะครับ
นั่นยังไม่รวมรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ยอมทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เพราะจงใจละเลย-ล่าช้าในการดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้ายที่เผาบ้านเผาเมือง และเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์กับทหารหาญของชาติ ที่ทำหน้าที่นำความสงบกลับคืนสู่บ้านเมืองจนต้องบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
เหตุการณ์ครั้งนั้น..ทหารที่มีเพียงกระบองและโล่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันระนาว หนึ่งในนั้น คือ พันเอก (ปัจจุบันเลื่อนยศเป็นพลเอก) “ร่มเกล้า” ต้องตายอย่างทารุณคาริมถนน!
โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ใช้ข้ออ้างอันเหลวไหลว่า รัฐบาลจะปรองดองกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ จึงให้ “เสธ.หนั่น” และนายตำรวจใหญ่ไปให้การที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ก่อการร้ายถึงศาลว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในคราครั้งนั้น..เป็นไปอย่างสันติและไม่มีอาวุธร้ายแรงใดๆ เลย
จนในที่สุด..ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหญ่ ตามที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องการ!
ยิ่งกลุ่มหัวโจกเสื้อแดงที่โดนข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเข้ามอบตัวรุ่นหลังๆด้วยแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังเอาอกเอาใจกันเป็นพิเศษ เพราะมีการให้ประกันตัวโดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว!
เท่านั้นไม่พอ..รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ทั้งฝ่ายทหารและประชาชนถึง 91 ศพอีกด้วย
รัฐบาลยังได้มอบหมายให้ “ดีเอสไอ” สอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกต่างหาก ซึ่งปรากฏผลสอบเบื้องต้นของดีเอสไอ ระบุว่า ทหารเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนั้นถึง 13 ศพ รวมทั้งระบุว่า..นักข่าวญี่ปุ่นก็ถูกกระสุนปืนอาการ์ยิงมาจากแนวทหารอีกด้วย!
เอ..แล้วก่อนหน้านี้..รัฐบาลอภิสิทธิ์ไปกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายได้ไง? แล้วที่ทหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วงจากอาวุธสงครามที่คนชุดดำซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงระดมยิงใส่นั้นล่ะ..มันเป็นการบาดเจ็บล้มตายปลอมๆ อย่างนั้นหรือ?
ที่ให้อภัยไม่ได้..ก็คือ..รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ทหารให้ไปบาดเจ็บล้มตาย เพื่อจะรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลตนเองเอาไว้ จนเป็นรัฐบาลตราบจนทุกวันนี้ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับปล่อยให้เหล่าทหารซึ่งเป็นวีรชน-วีรบุรุษผู้เสียสละที่นำความร่มเย็นกลับคืนสู่ชาติ ต้องถูกกล่าวหาให้กลายเป็นฆาตกรอย่างเลือดเย็นเช่นนี้หรือ?
นายกฯ อภิสิทธิ์-ลูกชายหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่างใจดำอำมหิตอย่างสุดแสนจริงๆ!
นายกฯ อภิสิทธิ์กับพวกกระทำผิดพลาด ได้กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ “อำนาจพิเศษ” ชอบธรรม กับการออกมาขจัดโจรการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้งที่รวมหัวกันโกงอำนาจ-โกงชาติ กระทั่งขายแผ่นดินหรือยกดินแดนไทยให้ชาติเขมรแบบเห็นตำตาตำใจคนไทยทั้งชาติ!
ยุบสภา..หนีอะไรก็ช่างเถอะ แต่หนี “กรรม” ตามสนองไม่พ้นหรอกครับ!
กว่า 2 ปีที่ผ่านมา..รัฐบาลและตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้กระทำแต่เรื่องไม่ควรทำ..แต่เสือกทำ เรื่องที่ควรจะกระทำ..กลับดันไม่ยอมทำ!
แถมรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังบริหารชาติอย่างไร้คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม มุ่งแต่แสวงหาอำนาจทางการเมือง และผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง ถึงขนาดบังอาจยกดินแดนไทยให้ชาติเขมรอย่างหน้าตาเฉย
ด้วยการยอมรับ MOU 2543 ที่มีแผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารเขมรใช้เป็นข้ออ้างยกกองกำลังเข้ามายึดภูมะเขือ-ตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัด-สร้างถนนขนอาวุธ ฯลฯ โดยรัฐบาลชวนจรดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่เคยแยแสต่อการกระทำชั่วของทหารเขมรเลย
อีกทั้งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และรมต.ว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เดินทางไปเจรจาถึงบ้านของนายฮุนเซน ณ กรุงพนมเปญ ก่อนที่ “จรกาตาโปน” จะให้สัมภาษณ์อย่างหน้าตาเฉยว่า
อย่ามัวทะเลาะกันแค่ที่ดิน (4.6 ตร.กม.) เท่าแมวดิ้นตายเลย ไปหาประโยชน์น้ำมันในทะเล (ไทย-กัมพูชา) กันดีกว่า!
การเสียดินแดนไทยให้ชาติเขมรตำตาตำใจ ทำให้ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินไทย อดรนทนไม่ไหวจนต้องออกมาชุมนุมกัน ณ สะพานมัฆวานฯ เพื่อเปิดเผย-เปิดโปงการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จงใจสมยอมให้ชาติไทยเสียดินแดนให้ชาติเขมร
โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และผลักดันทหารเขมรทั้งหมดออกจากดินแดนไทยโดยด่วน!
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับไม่แยแส แถมยังหลับหูหลับตาเดินเกมการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบเขมรฮุนเซนต่อไป จนไทยต้องเสียดินแดนทางพฤติกรรมไปแล้ว เบื้องต้น 4.6 ตร.กม.และกำลังจะสูญเสียดินแดนอีก 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งผลประโยชน์น้ำมันใต้ทะเล ที่มีมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาทในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนั้น..รัฐบาลอภิสิทธิ์-ยังเป็นตัวการโกงกินบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นตัวการทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะทำให้เกิดยุค “ข้าวยาก-หมากแพง” จนน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชขาดแคลนและแพงหูฉี่ เนื่องจากมีคนในรัฐบาลอภิสิทธิ์ แอบทำมาหากินกับน้ำมันปาล์มจนพุงกางไงล่ะครับ
นั่นยังไม่รวมรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ยอมทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เพราะจงใจละเลย-ล่าช้าในการดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้ายที่เผาบ้านเผาเมือง และเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์กับทหารหาญของชาติ ที่ทำหน้าที่นำความสงบกลับคืนสู่บ้านเมืองจนต้องบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
เหตุการณ์ครั้งนั้น..ทหารที่มีเพียงกระบองและโล่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันระนาว หนึ่งในนั้น คือ พันเอก (ปัจจุบันเลื่อนยศเป็นพลเอก) “ร่มเกล้า” ต้องตายอย่างทารุณคาริมถนน!
โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ใช้ข้ออ้างอันเหลวไหลว่า รัฐบาลจะปรองดองกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ จึงให้ “เสธ.หนั่น” และนายตำรวจใหญ่ไปให้การที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ก่อการร้ายถึงศาลว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในคราครั้งนั้น..เป็นไปอย่างสันติและไม่มีอาวุธร้ายแรงใดๆ เลย
จนในที่สุด..ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหญ่ ตามที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องการ!
ยิ่งกลุ่มหัวโจกเสื้อแดงที่โดนข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเข้ามอบตัวรุ่นหลังๆด้วยแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังเอาอกเอาใจกันเป็นพิเศษ เพราะมีการให้ประกันตัวโดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว!
เท่านั้นไม่พอ..รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ทั้งฝ่ายทหารและประชาชนถึง 91 ศพอีกด้วย
รัฐบาลยังได้มอบหมายให้ “ดีเอสไอ” สอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกต่างหาก ซึ่งปรากฏผลสอบเบื้องต้นของดีเอสไอ ระบุว่า ทหารเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนั้นถึง 13 ศพ รวมทั้งระบุว่า..นักข่าวญี่ปุ่นก็ถูกกระสุนปืนอาการ์ยิงมาจากแนวทหารอีกด้วย!
เอ..แล้วก่อนหน้านี้..รัฐบาลอภิสิทธิ์ไปกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายได้ไง? แล้วที่ทหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วงจากอาวุธสงครามที่คนชุดดำซึ่งอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงระดมยิงใส่นั้นล่ะ..มันเป็นการบาดเจ็บล้มตายปลอมๆ อย่างนั้นหรือ?
ที่ให้อภัยไม่ได้..ก็คือ..รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ทหารให้ไปบาดเจ็บล้มตาย เพื่อจะรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลตนเองเอาไว้ จนเป็นรัฐบาลตราบจนทุกวันนี้ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับปล่อยให้เหล่าทหารซึ่งเป็นวีรชน-วีรบุรุษผู้เสียสละที่นำความร่มเย็นกลับคืนสู่ชาติ ต้องถูกกล่าวหาให้กลายเป็นฆาตกรอย่างเลือดเย็นเช่นนี้หรือ?
นายกฯ อภิสิทธิ์-ลูกชายหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่างใจดำอำมหิตอย่างสุดแสนจริงๆ!
นายกฯ อภิสิทธิ์กับพวกกระทำผิดพลาด ได้กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ “อำนาจพิเศษ” ชอบธรรม กับการออกมาขจัดโจรการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้งที่รวมหัวกันโกงอำนาจ-โกงชาติ กระทั่งขายแผ่นดินหรือยกดินแดนไทยให้ชาติเขมรแบบเห็นตำตาตำใจคนไทยทั้งชาติ!
ยุบสภา..หนีอะไรก็ช่างเถอะ แต่หนี “กรรม” ตามสนองไม่พ้นหรอกครับ!