ASTVผู้จัดการรายวัน-กองทุน FTA ช่วยผู้ประกอบการขนส่งไทยรับมือเปิดเสรีโลจิสติกส์ รับมือญี่ปุ่นและอาเซียนเข้ามาแข่งขัน เปิดคอร์สติวเข้ม 40 รายสู้ศึก ฝึกอบรมเทคนิคอย่างเข้ม พร้อมดูงานสถานที่จริง
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กองทุน FTA ได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือแก่สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ให้บริการขนส่งไทย หลังจากประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าในกรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่จะเปิดให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งกิจการเพื่อให้บริการเป็นที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์ได้ 51% และได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียนในปี 2556 ที่จะเปิดให้สมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ถึง 70%
“ตอนนี้ธุรกิจบริการโลจิสติกส์ที่เป็นบริษัทของคนไทย และส่วนใหญ่เป็น SMEs มากกว่า 80% ได้รับแรงกดดันจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะบริษัทคู่แข่งที่เป็นของต่างชาติที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการที่เหนือกว่า มีอุปกรณ์การสื่อสารและเทคโนโลยีที่ดีกว่า และที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจากรัฐในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือผลกระทบจากการเปิดเสรี โดยเชื่อว่าหลังจากที่กองทุน FTA ได้เข้าไปช่วยเหลือแล้ว จะทำให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพและสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น”นายสุรศักดิ์กล่าว
นายสุรศักดิ์กล่าวว่า โครงการได้เปิดรับสมัครผู้ประกอบการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เข้าร่วมโครงการจำนวน 40 ราย เพื่อเข้าร่วมรับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ในเรื่องการจัดการขนส่ง การจัดการเทคนิคสำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ การจัดการโลจิสติกส์เพื่อธุรกิจ กลยุทธ์การรวมอำนาจการต่อรองในการจัดซื้อ การจัดการการตลาดด้านโลจิสติกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับธุรกิจขนส่ง
นอกจากนี้ ยังได้ช่วยในการพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูประบบบริหารการขน(Transportation Management System : TMS) โดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจัดการด้านขนส่ง
ขณะเดียวกัน ได้จัดให้มีการเรียนรู้ในสถานที่จริง โดยการเยี่ยมชมระบบโลจิสติกส์ที่บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล (1995) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่มีรถขนส่งเป็นของตัวเอง แต่ได้ว่าจ้างรถขนส่งท้องถิ่นที่ไม่ใช่รายใหญ่ โดยได้เข้าไปร่วมวางระบบการบริหารจัดการร่วมกับซัปพลายเออร์ ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก และการดูงานที่บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988จำกัด ที่เชียงใหม่และลำพูน ซึ่งเป็นบริษัทที่เติบโตจากธุรกิจครอบครัว จนปัจจุบันมีธุรกิจด้านการขนส่ง คลังสินค้า ให้เช่าห้องเย็นเคลื่อนที่ ให้เช่าห้องเย็น บริการส่งสินค้าด่วน และกระจายสินค้า รวมทั้งได้ร่วมทำธุรกิจกับ DHL ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่มีระบบบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เป็นอย่างดี และเป็นตัวอย่างที่ดีได้
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กองทุน FTA ได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือแก่สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ให้บริการขนส่งไทย หลังจากประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าในกรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่จะเปิดให้ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งกิจการเพื่อให้บริการเป็นที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์ได้ 51% และได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียนในปี 2556 ที่จะเปิดให้สมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ถึง 70%
“ตอนนี้ธุรกิจบริการโลจิสติกส์ที่เป็นบริษัทของคนไทย และส่วนใหญ่เป็น SMEs มากกว่า 80% ได้รับแรงกดดันจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะบริษัทคู่แข่งที่เป็นของต่างชาติที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการที่เหนือกว่า มีอุปกรณ์การสื่อสารและเทคโนโลยีที่ดีกว่า และที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจากรัฐในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือผลกระทบจากการเปิดเสรี โดยเชื่อว่าหลังจากที่กองทุน FTA ได้เข้าไปช่วยเหลือแล้ว จะทำให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพและสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น”นายสุรศักดิ์กล่าว
นายสุรศักดิ์กล่าวว่า โครงการได้เปิดรับสมัครผู้ประกอบการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เข้าร่วมโครงการจำนวน 40 ราย เพื่อเข้าร่วมรับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ในเรื่องการจัดการขนส่ง การจัดการเทคนิคสำหรับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ การจัดการโลจิสติกส์เพื่อธุรกิจ กลยุทธ์การรวมอำนาจการต่อรองในการจัดซื้อ การจัดการการตลาดด้านโลจิสติกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับธุรกิจขนส่ง
นอกจากนี้ ยังได้ช่วยในการพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูประบบบริหารการขน(Transportation Management System : TMS) โดยนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจัดการด้านขนส่ง
ขณะเดียวกัน ได้จัดให้มีการเรียนรู้ในสถานที่จริง โดยการเยี่ยมชมระบบโลจิสติกส์ที่บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล (1995) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่มีรถขนส่งเป็นของตัวเอง แต่ได้ว่าจ้างรถขนส่งท้องถิ่นที่ไม่ใช่รายใหญ่ โดยได้เข้าไปร่วมวางระบบการบริหารจัดการร่วมกับซัปพลายเออร์ ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก และการดูงานที่บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988จำกัด ที่เชียงใหม่และลำพูน ซึ่งเป็นบริษัทที่เติบโตจากธุรกิจครอบครัว จนปัจจุบันมีธุรกิจด้านการขนส่ง คลังสินค้า ให้เช่าห้องเย็นเคลื่อนที่ ให้เช่าห้องเย็น บริการส่งสินค้าด่วน และกระจายสินค้า รวมทั้งได้ร่วมทำธุรกิจกับ DHL ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่มีระบบบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เป็นอย่างดี และเป็นตัวอย่างที่ดีได้
