3 บทสุดท้ายของคำทำนายรัชกาลที่ 9 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปี 2518อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่บ้าไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ จึงมีผู้อ่านที่ติดตามและโต้ตอบบทความฉบับที่แล้วมากผิดปกติ แต่คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งมีต้นตอมาจากคำทำนายโบราณต้นยุครัตนโกสินทร์นั้น มิใช่เรื่องหมอดู
คำทำนายดังกล่าว มีลักษณะเป็น prophecy มิได้มาจากไสยศาสตร์หรือหมอดู หากมาจาก prophet คือศาสดาหรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงเกิดมีผู้เชื่อถือหรือเลื่อมใสพากันรอคอยหรือเคลื่อนไหวให้เกิดเงื่อนไขจนเป็นความเป็นจริงขึ้นมา อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า self-fulfilling prophecy
ผู้ทำนายอนาคตที่โด่งดังที่สุดในโลกเห็นจะไม่มีใครเกิน Nostradamus ชาวฝรั่งเศส ซึ่งมองเห็นอะไรล่วงหน้าเป็นศตวรรษๆ น่าอัศจรรย์ แต่ก็ย่อมจะมีถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม Nostradamus มิใช่ทั้งหมอดูและ prophet เขาเป็น future seer หรือ apothecary ที่แม่นยำ เพราะเข้าใจประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลง สังคม ศาสนา และประวัติศาสตร์ของยุโรปสมัยก่อนและสมัยของเขาจึงวิเคราะห์ และทำนายได้ดี
แม้คำทำนายสมัยปัจจุบันที่มีความขัดแย้งระหว่างโลกจนเกิดวิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ เป็นความขัดแย้งและข่มเหงกันแบบไร้พรมแดนยิ่งกว่าในยุคต้นรัฐชาติ เมื่อเกือบ 2 ร้อยปีที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่สู้จะเลื่อมใส แต่ Huntington ก็สามารถเขียนหนังสือให้คนเชื่อค่อนโลกว่ายุคนี้กำลังจะถึงกลีโลกที่เรียกว่า The Clash of Civilzations ระหว่างคริสเตียนกับมุสลิม เมื่อผู้นำ สื่อ นักวิชาการ นักการเมือง และนักยุทธศาสตร์โลกพากันเชื่อเช่นนั้น พากันเตรียมตัวรับมือคำทำนายนั้น ก็กลายเป็นการผลักดันให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้
ส่วน Nostradamus ทำนายว่าโลกจะวิบัติก็เพราะเกิด Anti-Christ คือตัวบุคคล สถาบันหรือแม้กระทั่งรัฐบาลที่ต่อต้านหักล้างพระเยซูเจ้า ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลักและความดีของศาสนาคริสต์ที่เป็นศาสนาหลักของยุโรป ตัวอย่างของบุคคลชั่วร้ายที่เรียกว่า anti-Christ ของ Nostradamus ที่เกือบจะทำหรือในอนาคตจะทำให้โลกแทบจะล่มสลายคือบุคคลแบบฮิตเลอร์ และประธานาธิบดีบุชผู้ลูก หรือแม้กระทั่งประมุขศาสนาโรมันคาทอลิกก็เป็นไปได้ว่า สันตะปาปาองค์ใดองค์หนึ่งอาจจะเป็น anti-Christหรือซาตานลงมาเกิดเพื่อทำลายพระศาสนาและโลก
สำหรับเมืองไทยตั้งแต่รัฐประหาร 2490 มีเผด็จการเรื่อยมา จนกระทั่งเลวร้ายกลายเป็นวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ผู้สืบสันดานชนชั้นปกครองไทยที่ชิงอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ได้สร้างระบอบคณาธิปไตยเผด็จการทหาร+พลเรือน นัก (ซื้อ) เลือกตั้ง ทำการผูกขาดอำนาจโกงกินและคอร์รัปชันประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ มีหัวโจกกลุ่มใหญ่ๆ ไม่กี่กลุ่มยืนยงคงกระพันต่อเนื่อง ผลัดกันขึ้นเสวย “สมบัติผลัดกันชม” มีลูกน้องบริวารไม่เกิน 2 พันคนมีตัวตายตัวแทน ทำตนเป็นเหมือนผีกระสือ “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” เปรียบได้ไม่ต่างหรือเลวยิ่งกว่า anti-Christ ของ Nostradamus เสียอีก
สังคมไทยในอดีต บางครั้งพึ่งผู้ชายไม่ได้ก็หันไปพึ่งผู้หญิง จึงเกิดตำนานพระศรีสุริโยไทย พระสุพรรณกัลยา ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร และคุณหญิงโม เป็นต้น
ในยุควิกฤตที่สุดในโลกเช่นปัจจุบัน ผู้นำทหารถูกประณามว่าขี้ขลาดตาขาว เชื่อไม่ได้พึ่งไม่ได้ จนกระทั่งคนไทยแถบชายแดนต้องแตกฉานซ่านเซ็น วิ่งหนีเขมร กลายเป็นผู้อพยพในประเทศตนเอง ผู้คนจำนวนไม่น้อย โหยหาวีรกษัตริย์ตรี และหวังพึ่งพระบารมีสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นต้น
อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของคำทำนายก็ได้ อย่างไรก็ตาม การตีความคำทำนายนี้ ไม่จำเป็นจะต้องแปลว่าเมืองไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์ก็หาไม่ การสืบราชสันตติวงศ์เป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เพราะเมื่อมีรัชทายาทพระองค์ใดก็ย่อมเป็นพระองค์นั้น ไม่ควรจะมีข้อโต้แย้ง ข่าวลือ หรือปัญหาใดๆ ข้อสำคัญขอให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียก่อน ทุกอย่างก็จะราบรื่น
อย่างไรก็ตาม คำทำนายอาจจะตีความกว้างได้ ถึงการมีส่วนร่วมกู้วิกฤตกู้ชาติของสตรีจนสามารถล้มคณาธิปไตยเผด็จการได้ หรือการมีผู้นำสตรีในสภา แม้กระทั่งการมีนายกรัฐมนตรีหญิงก็ได้
สรุปแล้วก็หมายถึงโอกาสที่เมืองไทยจะสามารถพึ่งพระบารมีหรือพึ่งชนชั้นปกครองหรือผู้นำประเทศที่เป็นสตรีก็ได้ หรือแม้แต่การมีผู้สำเร็จราชการเป็นสตรีในเวลาสำคัญที่คับขันและต่อเนื่องยาวนานก็ได้
ตัวอย่างในอดีตก็มีมาแล้ว คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกผนวชในปี พ.ศ. 2499 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผลให้ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ต่อมาเป็นองค์ที่สองของกรุงเทพฯ
ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ในหลายประเทศ ได้แก่ เวียดนาม (พ.ศ. 2502) อินโดนีเซีย พม่า สหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป (พ.ศ. 2503) ปากีสถาน สหพันธ์มลายู นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย (พ.ศ. 2505) จีน และญี่ปุ่น (พ.ศ. 2506) ออสเตรีย (พ.ศ. 2507) อังกฤษ (พ.ศ. 2509) อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และแคนาดา (พ.ศ. 2510) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (จากการปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงสถาปนาเป็น “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี”)
เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นสิ่งเลื่อนลอยก็คงจะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อคำทำนายข้ออื่นๆเป็นจริงเกือบจะทั้ง หมดแล้ว เหลือแต่สามบทสุดท้ายเท่านั้น