xs
xsm
sm
md
lg

ยอดเงินทำบุญ ”หลวงตาบัว” ทะลุ 200 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-พระอาจารย์อินทร์ถวาย ย้ำหลวงตาเป็นห่วงเงินเข้าคลังหลวงจะถูกนำไปรวมบัญชี หวั่นกระทบความมั่นคงของชาติ ส่วนยอดเงินบริจาคในงานบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารหลวงตาบัว ทะลุ 200 ล้านบาทแล้ว ประชาชนนับแสนยังแห่กรายสรีระสังขารหลวงตาแน่ศาลาวัดป่าบ้านตาด จนแถวยาวไปถึงหน้าประตูวัด

วานนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ในงานบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน มีประชาชนศรัทธาญาติโยมเดินทางมาจากจังหวัดต่างๆ มายังวัดป่าบ้านตาด เพื่อร่วมกันทำบุญตักบาตรและกราบสักการะสรีระสังขารหลวงตาบัว จนแน่นบริเวณทั้งภายในวัดและบริเวณลานรอบๆ วัด โดยวันนี้เฉพาะการเข้าแถวขึ้นกราบสักการะสรีระสังขารหลวงตาแน่นและยาวจากหน้าบันไดขึ้นไปจนถึงบริเวณลานจอดรถนอกวัดอีกวันหนึ่ง

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสัสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ได้แจ้งให้ญาติธรรมช่วงก่อนฉันภัตตาหาร ว่า การเตรียมงานพระราชพิธีถวายเพลิงของหลวงตามหาบัว ถือว่ามีความเรียบร้อยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมรุที่เป็นหัวใจของงาน เสร็จไปมากกว่า 95 % ซึ่งขณะนี้พระ-เณรที่มาช่วยงานหลวงตามีมากถึง 1,972 รูป ที่อยู่วัดป่าบ้านตาดแห่งนี้

ส่วนเงินและทองคำที่ได้จากการบริจาคในงานบำเพ็ญกุศล สรีระสังขารองค์หลวงตาบัวตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2554 ถึงปัจจุบัน (เงินสดจากตู้บริจาค+เงินโอน+เช็ค) รวมทั้งสิ้น 200,746,502.14 บาท ยอดทองคำเฉพาะจากตู้รับบริจาค จำนวน 43 ตู้ ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.- 26 ก.พ.54 รวม 39 กิโลกรัม 65 บาท 49 สตางค์ ซึ่งเงินจำนวนนี้เราจะนำซื้อทองคำเข้าคลังหลวงทั้งหมด ตามพินัยกรรมของหลวงตาบัว

พระอาจารย์อินทร์ถวาย กล่าวต่อถึงกรณีเงินคลังหลวงว่า ตอนที่หลวงตายังมีชีวิตอยู่ ท่านมีความเป็นห่วงเรื่องรวมบัญชี การรวมบัญชีตามความเข้าใจของหลวงพ่อ ถ้าจะเปรียบเทียบคือบัญชีฝากประจำ บัญชีออมทรัพย์ บัญชีกระแสรายวัน แต่เดี๋ยวนี้เงินของทางรัฐบาลเขาบอกว่าหร่อยหรอ รัฐบาลจึงอยากจะรวมบัญชีทั้งหมดให้เป็นบัญชีประจำ เพื่อให้ใช้สอยจับจ่ายง่าย ถ้าหลวงพ่อเข้าใจไม่ผิด ทั้งนี้ทั้งนั้นหลวงตาเคยบอกว่า หากเอาเงินออกมาใช้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อไปในอนาคต

แต่ถ้าว่ารัฐบาลชุดนี้นำเงินออกมาใช้ รัฐบาลชุดต่อไปล่ะ ถ้าหากเกิดความเสียหายขึ้นมาผลกระทบก็ตกอยู่กับพี่น้องประชาชนอีกเหมือนเดิม

เหตุที่หลวงตาไม่ให้มีการร่วมบัญชี ก็เพราะหลวงตาบริหารเงินแบบคนโบราณ สมมติว่าในครอบครัวมีคน 4-5 คน พ่อ-แม่ ที่เป็นเจ้าของบ้าน จะต้องเอาเงินไว้ในบ้านอย่างน้อยซัก 2-3 แสนบาทเพื่อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และท่านก็บอกลูกคนที่ไว้ใจได้ว่า มีเงินอยู่ในตู้นะจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ต่อไปหากมีเรื่องฉุกเฉินขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เช่น ลูกคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุขาหัก แขนหักขึ้น ก็จะนำเงินส่วนนี้มาใช้ได้ ซึ่งหมอผู้รักษารู้แล้วว่ามีเงินเขาก็จะรักษาให้

แต่ถ้าหากว่ามีเงินเท่าไรกลัวจะเสียประโยชน์ ก็นำเอาไปลงทุนทั้งหมดจนไม่มีเงินเก็บไว้ในบ้านเลย ซึ่งเมือเกิดอุบัติเหตุ และพาลูกไปหาหมอและไม่มีเงินไปให้เขาเบื้องต้น หมอเขาจะทำการรักษาให้หรือเปล่า

หลวงตาท่านจึงบอกไว้ว่าเงินส่วนนี้ คือ เงินประกันครอบครัว เงินประกันประเทศ ถ้าเราเอามาใช้ จะเป็นอย่างไร ถ้าอนาคตเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม เราจะใช้เงินจากที่ไหน เราจะยืมเงินจากที่ไหนมาใช้ อันนี้หลวงตาเคยให้แนวความคิดนี้ไว้ ถ้าเงินก้อนนี้อยู่ในคลังของประเทศก็จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

พระอาจารย์อินทร์ถวาย กล่าวอีกว่า ในยุคนี้สมัยนี้ คนที่ส่งลูกหลานไปเรียน ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ถึงต่างประเทศ ปีหนึ่งหมดเงินไปมากมายมหาศาล ซึ่งส่วนมากจะเรียนปริญญาเอกด้านการค้า การบัญชี การตลาด ไปเรียนการหาเงินทั้งนั้น แต่ทำไมคนสมัยนี้ไม่ใช้หัวคิดหาเงินใช้เอง ทำไมยังมองถึงเงินตั้งแต่สมัยราชกาลที่ 5 ที่ท่านเก็บเอาไว้ เงินส่วนนี้คือเงินถุงแดง ซึ่งก็มีมากถึง 7-8 แสนล้านบาท เงินประกันประเทศก้อนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร

ถึงอย่างไรก็เป็นสมบัติของแผ่นดิน น่าจะเก็บรักษาไว้หลวงตาท่านเคยบอกยังนั้น เพราะฉะนั้นลูกหลานยุคนี้สมัยนี้ มีปริญญาเอกเต็มบ้านเมืองทำไมไม่หาเงินมาใช้เอง ทำไมคิดจะใช้เงินสมัยโบราณ ก็ขอฝากความคิดนี้ให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่านำไปพิจารณาไตร่ตรอง.
กำลังโหลดความคิดเห็น