ก่อนอื่น ผมต้องขออภัยต่อพี่น้องมุสลิมที่ได้นำเสนอภาพการ์ตูน “พลังหมู” พร้อมหลอดไฟฟ้าสว่างแจ้งอยู่ที่ก้น ขณะเดียวกันก็ต้องขอโทษต่อผู้วาดการ์ตูนนี้ที่ผมจำไม่ได้ว่ามาจากที่ใด
มูลหมู หรือขี้หมู สามารถนำไปหมักเป็นก๊าซมีเทนชนิดเดียวกับก๊าซธรรมชาติที่เขาโฆษณาว่าจะทำให้ประเทศไทยโชติช่วงชัชวาล จากนั้นก็นำก๊าซนี้ไปผลิตพลังงานไฟฟ้า มูลค่าของพลังงานไฟฟ้าที่เหลือหลังจากนำมาอาบน้ำล้างบ้านให้หมูในฟาร์มแล้ว คิดเป็นเงินก็ไม่ต่ำกว่าวันละหนึ่งบาทต่อหมูหนึ่งตัว
โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มาจากขี้หมูสามารถคุ้มทุนได้ภายในเวลา 5 ปี ท่านที่สนใจเป็นพิเศษสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่ http://www.biogastech-cmu.com/matter/index.php ซึ่งเป็นหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พวกข้าราชการและพ่อค้าพลังงานที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศมักจะมีชุดความคิดไว้โฆษณาต่อสาธารณะให้คนทั่วไปยึดเป็นหลักการว่า "เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อความทันสมัยและประสิทธิภาพ พลังงานแห่งอนาคต” เป็นต้น ซึ่งหากเราคิดต่อกันสักนิดเราก็คงเริ่มสงสัยว่า "เอ๊ะ! มันเป็นความมั่นคงของใคร อะไรละที่มั่นคง หมูขี้ทุกวัน แล้วไม่มั่นคงได้อย่างไร”
พร้อมกันนี้ คนกลุ่มนี้ก็พยายามทำสองประการ คือ
หนึ่ง ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าแหล่งพลังงานที่พวกพ่อค้าสามารถผูกขาดและเข้าถึงได้โดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่เท่านั้น เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานที่มีความมั่นคง ทันสมัย สามารถป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ตลอดไป
และ สอง แหล่งพลังงานอื่นที่มีอยู่ทั่วไป คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เช่น แสงแดด ลม ชีวมวล รวมทั้งขี้หมู เป็นพลังงานที่ไม่มั่นคง ล้าสมัย ก้นหม้อข้าวดำเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นต้น
ลามไปถึงการใช้ครีมหน้าขาว รักแร้ขาวด้วย
เพื่อลบล้างความคิดเรื่องความทันสมัยที่เราถูกฝังหัวมายาวนาน ผมขอเสนออีกภาพหนึ่ง
เป็นภาพรถไฟในประเทศสวีเดนครับ เป็นรถไฟคันแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยไบโอก๊าซ ซึ่งก็มีคุณสมบัติไม่ต่างอะไรกับขี้หมู ผู้นำเสนอเรื่องนี้คือ “BBC NEWS” เมื่อปี 2548
เป็นสำนักข่าวที่ทันสมัย! นอกจากนี้สวีเดนก็เป็นประเทศที่คนไทยนิยมชมชอบในหลายด้าน
รถไฟขบวนนี้มี 2 ตู้ ยาว 24 เมตร สามารถขนผู้โดยสารได้ 54 คน หลังจากเติมก๊าซแต่ละครั้งสามารถแล่นได้ถึง 600 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วกว่ารถไฟไทยครับ ระยะทางที่ให้บริการประมาณ 75 กิโลเมตร
ข่าวเพิ่มเติมจากอีกสำนักหนึ่งว่า ไบโอก๊าซที่ใช้ได้จากการหมักของเสียจากโรงฆ่าสัตว์โดยใช้วัวเพียง 30 ตัว สามารถขับเคลื่อนรถไฟนี้ได้ถึง 75 กิโลเมตร
สำหรับราคารถไฟทั้งสองตู้อยู่ที่ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 40 ล้านบาท ไบโอก๊าซที่ใช้ก็ผลิตจากท้องถิ่นใกล้ๆ เส้นทาง
ปัจจุบัน (2548) รถไฟที่ใช้น้ำมันดีเซลมีต้นทุนที่ถูกกว่ารถไฟที่ใช้ไบโอก๊าซประมาณ 20% แต่ในอนาคตเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น รถไฟไบโอก๊าซก็จะได้เปรียบ
ข่าวชิ้นนี้ยังได้รายงานเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศสวีเดนมีรถเมล์ (รถบัส) ที่ใช้ไบโอก๊าซแล้วถึง 779 คัน นอกจากนี้ยังมีรถเก๋งอีกหลายพันคันที่ใช้เชื้อเพลิงได้ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไบโอก๊าซ
“ปัจจุบัน 25% ของพลังงานที่ใช้ในสวีเดนมาจากชีวมวล (biomass รวมถึงไม้ฟืนด้วย) ตั้งใจว่า ภายในปี 2593 จะเป็นประเทศที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เลย และขณะนี้รถเมล์ทุกคันในเมือง Linkoeping ได้ใช้ไบโอก๊าซเรียบร้อยไปแล้ว”
ในขณะที่บ้านเรากำลังเถียงกันเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศและเชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่ถูกผูกขาดไปหมดแล้ว ประเทศสวีเดนเขาก้าวหน้าไปกันถึงไหนแล้ว
นี่แหละครับ คือการล้างสมองว่าขี้หมูเป็นเรื่องล้าสมัย เอ็นจีวีเป็นพลังงานสะอาด พลังงานเพื่ออนาคต
ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความชิ้นนี้ ชาวอำเภอท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช กำลังแสดงพลังภายใต้งานที่ชื่อว่า “รวมพลคนท่าหลา ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน”
รองผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ยอมรับผ่านทีวีไทยว่าก่อนปี 2540 โรงไฟฟ้าถ่านหินที่อำเภอแม่เมาะได้ก่อปัญหามลพิษจริง แต่ต่อไปนี้โรงไฟฟ้าที่สร้างใหม่จะไม่ก่อปัญหามลพิษอีกเพราะมีเทคโนโลยีกรองมลพิษ คุณภาพอากาศรอบๆ โรงไฟฟ้าจะดีกว่าอากาศในกรุงเทพฯ
เหตุผลดังกล่าวฟังดูดี แต่การติดตั้งเครื่องกรองดังกล่าวมันจะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นซึ่งขัดแย้งกับเหตุผลที่ทาง กฟผ.อ้างมาตลอดว่าที่ต้องเลือกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงก็เพราะราคาถูกที่สุด
ถ้าถ่านหินราคาถูกจริง ช่วยตอบหน่อยซิว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินจะคุ้มกับการลงทุนภายใน 5 ปีเหมือนโรงไฟฟ้าจากขี้หมูไหม?
เหตุผลที่แท้จริงก็เพราะว่าพ่อค้าถ่านหินในต่างประเทศเป็นผู้กำหนดให้ กฟผ.เลือก นั่นเอง
เรื่องพลังงานจะคิดกันเพียงแค่ต้นทุนการผลิตอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น เช่น ก่อให้เกิดโลกร้อนหรือไม่ การมีงานทำ ความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย
ประเทศสวีเดนจัดอยู่ในกลุ่มของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่ที่ประมาณ 3-4 เท่าซึ่งน้อยที่สุดในโลก ในขณะที่ประเทศเราอยู่ที่ 13-15 เท่าตัวซึ่งสูงที่สุดในอาเซียนและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หากนับรวมถึงทรัพย์สินด้วยก็เป็น 69 เท่าตัว
เพราะการยอมรับหรือไม่รับเรื่องขี้หมูนี่เอง!