ASTVผู้จัดการรายวัน - แอตต้าเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 เดือนวูบกว่า 16% ระบุเฉพาะตลาดตะวันออกกลาง ร่วมกว่า 22%สูงสุดในรอบ 5 ปี สาเหตุหลักมาจากเหตุประท้วงทางการเมืองในยุโรปและกลุ่มประเทศอาหรับ สสปน. หวั่นลามถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพราะจะกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งโลก สั่งจับตาเป็นพิเศษก่อนประเมินผลกระทบไมซ์สัปดาห์หน้า ด้านไทยแอร์เอเชีย จ่อ
เก็บเซอร์ชาร์จ 200 บาทต่อที่นั่ง อ้างน้ำมันปรับขึ้นราคา
วานนี้(24 ก.พ.54) ในการประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) นายสุรพล ศรีตระกูล นายกแอตต้า เปิดเผยถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ว่า ต่างชาติที่เดินทางผ่านสมาชิกของสมาคนแอตต้า เดือนม.ค.54 จำนวน 243,971 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.4% ส่วนเดือนก.พ.54(1-20ก.พ.)มีจำนวน 230,834 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.85% โดยตลาดที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากสุด
คือ นักท่องเที่ยวจากประเทศในตะวันออกกลาง โดยพบว่า 1ม.ค.-20ก.พ.54 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดนี้ลดลงทั้งสิ้นกว่า 22% สูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่นักท่องเที่ยวลดลงมากได้แก่ กาต้า อิหร่าน คูเวต โอมาร์น ส่วน บาร์เรน เลบานอล ยังคงเติบโต แต่เป็นตัวเลขเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้สาเหตุน่าจะมาจากวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ในประเทศตุรกี อียิปต์ และ ลิเบีย ทำให้บรรยากาศไม่เอื้อให้ประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้น สิ่งที่สมาชิกแอตต้าดำเนินการ คือเจรจากับลูกค้า ว่าอย่างเพิ่มยกเลิกกการเดินทาง แต่ขอให้เป็นเลื่อนการเดินทาง เมื่อง สบายใจ คลายกังวล ค่อยกำหนดเดินทางอีกครั้ง
โดยสมาชิกแอตต้าพยายามติดต่อพูดคุยกับลูกค้าและทัวร์โอปอเรเตอร์อย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาดการติดต่อ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีไว้
"ยอมรับว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ อาจทำให้การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ อาจไม่สดใสมากนัก แต่จะโตกว่าปีก่อนแน่นอน โดยตลาดที่จะมีผลกระทบ ได้แก่ ยุโรป ตะวันออกกกลาง ส่วนปัจจัยลบการเมืองในประเทศ จะกระทบต่อนักท่องเที่ยวจากตลบาดญี่ปุ่น ดังนั้น ตลาดความหวังสุดท้ายของประเทศไทยปีนี้ คงเป็น จีนและรัสเซีย"
***สสปน.สั่งติดตามสถานการณ์หวั่นกระทบไมซ์*****
ทางด้านนายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการในคณะกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. และกรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด สสปน. ได้เสนอให้เฝ้าติดตามสถานการ์ณทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุโรปและตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าอาจมีผลกระทบต่อตลาดจัดประชุมสัมมนา(ไมซ์)
โดยสั่งการให้ตัวแทนตัวแทนสสปน.ในต่างประเทศ รายงานสถานการณือย่างใกล้ชิด คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทราบข้อมูลเพื่อนำมาประเมินผล
"การเกิดเหตุการในอียิปต์ และ ลิเบีย ไทยจะมีทั้งได้และเสีย กล่าวคือส่วนที่จะได้ คือ กลุ่มประชุมที่จะเดินทางไปตรุกี หรืออียิปต์ อาจเปลี่ยนเดินทางมาประเทศไทยแทน ส่วนผลที่จะเสีย คือ ลูกค้าจากประเทศที่เกิดเหตุที่มีแผนจะเดินทางมาประเทศไทยก็จะยกเลิก ซึ่งเรากำลังประเมินว่าผลดีกับผลเสียอย่างไหนจะมากกว่ากัน "
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาคเอกชนท่องเที่ยว และ สสปน. กังวลและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ หากความขัดแย้งทางการเมืองต่างประเทศ ในลิเบีย และตะวันออกกลาง หาก รุกลามขยายวงกว้างคลุมหลายประเทศโดยเฉพาะประเทสผู้ผลิตน้ำมัน อย่างซาอุดิอารเบีย ก็น่าจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่จะปรับตัวสูงขึ้น และหากถึงเวลานั้น
แน่นอนว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะเป็นผลกระทบกับทั้งโลกไม่ใช้แค่ประเทศไทย
***ตลาดคนไทยไม่กระทบ งานเที่ยวไทยฯคึก****
ทางด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า เชื่อว่าผลจากวิกฤตการเมืองในลิเบียและตะวันนออกลาง จะไม่กระทบต่อตลาดคนไทยเดินทางไปต่างประเทศ เพราะ ในพื้นที่ดังกล่าว ในแต่ละปีมีจำนวนคนไทยเดินทางไปไม่ถึง 10% ของจำนวนคนไทยทั้งหมดที่เดินทางเที่ยวต่างประเทศที่เฉลี่ยต่อปีมากกว่า 5 ล้านคน
โดยระยะสั้นอาจมีคนไทยชะลดหรือยกเลิกการเดินทางไปตะวันออกลางในช่วงซัมเมอร์ปีนี้
อย่างไรก็ตาม การจัดงาน"เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก 2011 ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ.54 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คนไทยยังเดินทางเข้าชมงานและจับจ่ายแพกเกจทัวร์กันอย่างคึกคัก ทั้งแพกเกจเที่ยวในประเทศและ ต่างประเทศ ในแต่ละบูธที่ออกงาน มีผู้สนใจ เลือกซื้อจำนวนมาก คาด 4 วันของการจัดงานจะมีเงินสะพัดตามเป้าหมายคือ 1.2 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรูปแบบการจัดงานปีนี้ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ เน้นจัดโปรโมชั่น ลดราคา เฉลี่ย 2-3 พันบาท ต่อแพกเกจ ซึ่งต่างจากปีก่อน ที่จะใช้โปรโมชั่นแรงกว่านี้ เช่น ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น ด้าน รร.ศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.เชียงใหม่ จัดโปรโมชั่นพิเศษ ในงาน “เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก” เริ่มต้นที่ราคา 2,900 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้า
หากจอง 3 คือ รับสิทธิ์นวดไทยฟรี 60 นาที แคมเปญนี้จะมีถึง 1 มี.ค.54
***ไทยแอร์เอเชียเล็งเก็บเซอร์ชาร์จน้ำมัน***
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปรับขึ้นราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และจากเหตุการทางการเมืองของประเทศในกลุ่มตะวันิกกลาง ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันอยู่ที่ราคากว่า 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล
และหากราคาน้ำมันถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เมื่อใด ทางสายการบินไทยแอร์เอเชีย จะพิจารณาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมัน(Fuel Surcharge) ตามระยะทาง ขั้นต่ำที่ นั่งละ 100-200 บาท แต่หากสถานการณ์ราคาน้ำมันคลี่คลายก็จะยกเลิก เชื่อว่าผู้โดยสารจะมีความเข้าใจ เพราะเป็นอัตราเรียกเก็บที่ไม่แพงและไม่ทำให้กระทบต่อการเดินทางของลูกค้า เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในไฮซีซั่น
"ปีที่ผ่านมาอัตราบรรทุกผู้โดยสารของไทยแอร์เอเชียอยู่ที่ 80% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 5 ล้านคน ขณะที่ปีนี้ยังตั้งเป้าธุรกิจโตต่อเนื่องแม้จะมีปัจจัยลบจากสถานการณ์ทางการเมืองทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ โดยยังตั้งเป้า มีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร 82% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 7 ล้านคน
สำหรับกลยุทธ์ ไทยแอร์เอเชีย ปีนี้ จะเน้นสร้างแบรนด์ผ่านสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง เช่นการร่วมเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬา ล่าสุด สนับสนุนทีมฟุตบอล
"เดอะ ฟอร์ซ่า" สมุทรปราการ ศุลกากร ยูไนเต็ด เป็นการสนับสนุนการเดินทางไปแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายสายการบินแอร์เอเชีย คาดว่า จะใช้งบประมาณสนับสนุนทั้ง 9 ทีม ราว 100 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นเท่าตัวปีก่อนที่ใช้งบจาก 50 ล้านบาท นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมให้แฟนคลับ 9 ทีม ซื้อตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ
เก็บเซอร์ชาร์จ 200 บาทต่อที่นั่ง อ้างน้ำมันปรับขึ้นราคา
วานนี้(24 ก.พ.54) ในการประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) นายสุรพล ศรีตระกูล นายกแอตต้า เปิดเผยถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ว่า ต่างชาติที่เดินทางผ่านสมาชิกของสมาคนแอตต้า เดือนม.ค.54 จำนวน 243,971 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.4% ส่วนเดือนก.พ.54(1-20ก.พ.)มีจำนวน 230,834 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.85% โดยตลาดที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากสุด
คือ นักท่องเที่ยวจากประเทศในตะวันออกกลาง โดยพบว่า 1ม.ค.-20ก.พ.54 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดนี้ลดลงทั้งสิ้นกว่า 22% สูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่นักท่องเที่ยวลดลงมากได้แก่ กาต้า อิหร่าน คูเวต โอมาร์น ส่วน บาร์เรน เลบานอล ยังคงเติบโต แต่เป็นตัวเลขเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้สาเหตุน่าจะมาจากวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ในประเทศตุรกี อียิปต์ และ ลิเบีย ทำให้บรรยากาศไม่เอื้อให้ประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้น สิ่งที่สมาชิกแอตต้าดำเนินการ คือเจรจากับลูกค้า ว่าอย่างเพิ่มยกเลิกกการเดินทาง แต่ขอให้เป็นเลื่อนการเดินทาง เมื่อง สบายใจ คลายกังวล ค่อยกำหนดเดินทางอีกครั้ง
โดยสมาชิกแอตต้าพยายามติดต่อพูดคุยกับลูกค้าและทัวร์โอปอเรเตอร์อย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาดการติดต่อ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีไว้
"ยอมรับว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ อาจทำให้การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ อาจไม่สดใสมากนัก แต่จะโตกว่าปีก่อนแน่นอน โดยตลาดที่จะมีผลกระทบ ได้แก่ ยุโรป ตะวันออกกกลาง ส่วนปัจจัยลบการเมืองในประเทศ จะกระทบต่อนักท่องเที่ยวจากตลบาดญี่ปุ่น ดังนั้น ตลาดความหวังสุดท้ายของประเทศไทยปีนี้ คงเป็น จีนและรัสเซีย"
***สสปน.สั่งติดตามสถานการณ์หวั่นกระทบไมซ์*****
ทางด้านนายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการในคณะกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. และกรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด สสปน. ได้เสนอให้เฝ้าติดตามสถานการ์ณทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุโรปและตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าอาจมีผลกระทบต่อตลาดจัดประชุมสัมมนา(ไมซ์)
โดยสั่งการให้ตัวแทนตัวแทนสสปน.ในต่างประเทศ รายงานสถานการณือย่างใกล้ชิด คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทราบข้อมูลเพื่อนำมาประเมินผล
"การเกิดเหตุการในอียิปต์ และ ลิเบีย ไทยจะมีทั้งได้และเสีย กล่าวคือส่วนที่จะได้ คือ กลุ่มประชุมที่จะเดินทางไปตรุกี หรืออียิปต์ อาจเปลี่ยนเดินทางมาประเทศไทยแทน ส่วนผลที่จะเสีย คือ ลูกค้าจากประเทศที่เกิดเหตุที่มีแผนจะเดินทางมาประเทศไทยก็จะยกเลิก ซึ่งเรากำลังประเมินว่าผลดีกับผลเสียอย่างไหนจะมากกว่ากัน "
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาคเอกชนท่องเที่ยว และ สสปน. กังวลและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ หากความขัดแย้งทางการเมืองต่างประเทศ ในลิเบีย และตะวันออกกลาง หาก รุกลามขยายวงกว้างคลุมหลายประเทศโดยเฉพาะประเทสผู้ผลิตน้ำมัน อย่างซาอุดิอารเบีย ก็น่าจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่จะปรับตัวสูงขึ้น และหากถึงเวลานั้น
แน่นอนว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะเป็นผลกระทบกับทั้งโลกไม่ใช้แค่ประเทศไทย
***ตลาดคนไทยไม่กระทบ งานเที่ยวไทยฯคึก****
ทางด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า เชื่อว่าผลจากวิกฤตการเมืองในลิเบียและตะวันนออกลาง จะไม่กระทบต่อตลาดคนไทยเดินทางไปต่างประเทศ เพราะ ในพื้นที่ดังกล่าว ในแต่ละปีมีจำนวนคนไทยเดินทางไปไม่ถึง 10% ของจำนวนคนไทยทั้งหมดที่เดินทางเที่ยวต่างประเทศที่เฉลี่ยต่อปีมากกว่า 5 ล้านคน
โดยระยะสั้นอาจมีคนไทยชะลดหรือยกเลิกการเดินทางไปตะวันออกลางในช่วงซัมเมอร์ปีนี้
อย่างไรก็ตาม การจัดงาน"เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก 2011 ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ.54 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คนไทยยังเดินทางเข้าชมงานและจับจ่ายแพกเกจทัวร์กันอย่างคึกคัก ทั้งแพกเกจเที่ยวในประเทศและ ต่างประเทศ ในแต่ละบูธที่ออกงาน มีผู้สนใจ เลือกซื้อจำนวนมาก คาด 4 วันของการจัดงานจะมีเงินสะพัดตามเป้าหมายคือ 1.2 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรูปแบบการจัดงานปีนี้ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ เน้นจัดโปรโมชั่น ลดราคา เฉลี่ย 2-3 พันบาท ต่อแพกเกจ ซึ่งต่างจากปีก่อน ที่จะใช้โปรโมชั่นแรงกว่านี้ เช่น ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น ด้าน รร.ศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.เชียงใหม่ จัดโปรโมชั่นพิเศษ ในงาน “เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก” เริ่มต้นที่ราคา 2,900 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้า
หากจอง 3 คือ รับสิทธิ์นวดไทยฟรี 60 นาที แคมเปญนี้จะมีถึง 1 มี.ค.54
***ไทยแอร์เอเชียเล็งเก็บเซอร์ชาร์จน้ำมัน***
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปรับขึ้นราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และจากเหตุการทางการเมืองของประเทศในกลุ่มตะวันิกกลาง ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันอยู่ที่ราคากว่า 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล
และหากราคาน้ำมันถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เมื่อใด ทางสายการบินไทยแอร์เอเชีย จะพิจารณาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมน้ำมัน(Fuel Surcharge) ตามระยะทาง ขั้นต่ำที่ นั่งละ 100-200 บาท แต่หากสถานการณ์ราคาน้ำมันคลี่คลายก็จะยกเลิก เชื่อว่าผู้โดยสารจะมีความเข้าใจ เพราะเป็นอัตราเรียกเก็บที่ไม่แพงและไม่ทำให้กระทบต่อการเดินทางของลูกค้า เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในไฮซีซั่น
"ปีที่ผ่านมาอัตราบรรทุกผู้โดยสารของไทยแอร์เอเชียอยู่ที่ 80% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 5 ล้านคน ขณะที่ปีนี้ยังตั้งเป้าธุรกิจโตต่อเนื่องแม้จะมีปัจจัยลบจากสถานการณ์ทางการเมืองทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ โดยยังตั้งเป้า มีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร 82% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 7 ล้านคน
สำหรับกลยุทธ์ ไทยแอร์เอเชีย ปีนี้ จะเน้นสร้างแบรนด์ผ่านสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง เช่นการร่วมเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬา ล่าสุด สนับสนุนทีมฟุตบอล
"เดอะ ฟอร์ซ่า" สมุทรปราการ ศุลกากร ยูไนเต็ด เป็นการสนับสนุนการเดินทางไปแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายสายการบินแอร์เอเชีย คาดว่า จะใช้งบประมาณสนับสนุนทั้ง 9 ทีม ราว 100 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นเท่าตัวปีก่อนที่ใช้งบจาก 50 ล้านบาท นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมให้แฟนคลับ 9 ทีม ซื้อตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ