เอเอฟพี – วิศวกรเคมีชาวอิรัก ผู้แปรพักตร์ไปบอกหน่วยข่าวกรองเยอรมันและสหรัฐฯว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพอยู่ในครอบครอง และเรื่องนี้เองถูกหยิบยกเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับสร้างความชอบธรรม ให้แก่การที่อเมริกันนำกองทัพเข้าไปรุกรานและยึดครองประเทศในตะวันออกกลางที่รุ่มรวยด้วยน้ำมันแห่งนี้เมื่อปี 2003 นั้น เวลานี้ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับแล้วว่า เขาโกหกกุเรื่องขึ้นมาด้วยความประสงค์ที่จะให้ฝ่ายตะวันตกกำจัดซัดดัม ฮุสเซน ทั้งนี้ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ
รอฟิด อาเหม็ด อัลวาน อัล จานาบี (Rafid Ahmed Alwan al-Janabi) ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเยอรมนีและอเมริกาตั้งชื่อรหัสให้ว่า “เคิร์ฟบอล” (Curveball) ได้บอกกับ “บีเอ็นดี” หน่วยงานข่าวกรองของเยอรมนีว่า อิรักมีรถบรรทุกที่ใช้เป็นยานลำเลียงอาวุธชีวภาพเคลื่อนที่ รวมทั้งยังได้สร้างโรงงานผลิตอาวุธชีวภาพลับๆ ขึ้นหลายแห่ง
ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จนี้ ได้ถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานชิ้นเอกในคำปราศรัยสำคัญที่ คอลิน พาวล์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในขณะนั้น ไปกล่าวที่สหประชาชนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2003
ในคำปราศรัยดังกล่าว พาวล์ ได้เรียก จานาบี ว่าเป็น “วิศวกรเคมีชาวอิรัก” ซึ่งเป็น “ผู้กำกับตรวจสอบโรงงานดังกล่าวเหล่านี้แห่งหนึ่ง” และ “ในระหว่างที่กำลังมีการผลิตสารทางชีวภาพนั้น เขาอยู่ตรงนั้นด้วยจริงๆ นอกจากนั้นยังอยู่ในโรงงานแห่งที่ได้เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อปี 1998”
จานาบี บอกกับการ์เดียนว่า สิ่งที่ทำเขาลงไปนั้น “ผมอาจจะถูกก็ได้ ผมอาจจะไม่ถูกก็ได้”
“พวกเขาให้โอกาสนี้แก่ผม ผมมีโอกาสที่จะเสกสรรปั้นแต่งอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อโค่นระบอบปกครองนั้น ผมและบุตรชายต่างมีความภาคภูมิใจกับเรื่องนี้ และเรามีความภาคภูมิใจที่เราได้ถูกใช้เป็นเหตุผลเพื่อให้อิรักได้เป็นประชาธิปไตย”
“ผมต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อประเทศของผม ดังนั้นผมจึงทำเรื่องนี้ และผมพอใจมาก เพราะในอิรักไม่มีเผด็จการใดๆ อีกต่อไปแล้ว” เขากล่าวต่อ
สงครามอิรักที่บังเกิดขึ้นมา ได้ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไปมากกว่า 100,000 คน และทำลายเกียรติภูมิทางการเมืองทั้งของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯในขณะนั้น, โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมของเขา, และพันธมิตรของพวกเขา นายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษ
ตัวรัมสเฟลด์นั้นได้ยอมรับในหนังสือบันทึกความทรงจำที่เพิ่งออกวางตลาดในสัปดาห์ที่แล้วว่า เขา “พูดบิดเบือนเกินความจริง” เมื่อเขาอ้างว่า ซัดดัมมีสถานที่เก็บอาวุธทำลายร้ายแรง (weapons of mass destruction หรือ WMD) อยู่หลายแห่งรอบๆ กรุงแบกแดด และเมืองติกริต
จานาบีบอกกับการ์เดียนว่า ตัวเขาเองก็ “รู้สึกช็อก” เมื่อได้ยินคำปราศรัยของพาวล์ แต่เขาก็แก้ตัวว่า “พาวล์ไม่ได้บอกว่าผมคือเหตุผลเพียงประการเดียวในการเข้าทำสงคราม เขาพูดออกมา 3 ประการ คือ ยูเรเนียม, อัลกออิดะห์ในอิรัก, และเรื่องที่ผมบอกไป (อาวุธชีวภาพ)”
นอกจากนั้น จานาบียังกล่าวหาหน่วยบีเอ็นดี ว่าไม่รักษาข้อตกลงที่ว่าพวกเขาจะต้องไม่ส่งต่อข้อมูลของเขาไปให้ประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่เยอรมันผู้หนึ่งชื่อ “ดร.พอล” เข้ามาติดต่อกับจานาบีในปี 2000 ภายหลังสืบทราบว่า เขาเป็นวิศวกรเคมีที่ผ่านมาฝึกฝนอบรมของแบกแดด และเป็นไปได้ว่าจะทราบข่าวกรองวงในของระบอบปกครองของซัดดัม
“เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก เรื่องที่อิรักถูกปกครองโดยเผด็จการ และผมจำเป็นที่จะต้องช่วย” จานาบีผู้แปรพักตร์บอกกับการ์เดียน
จานาบีซึ่งต่อมาได้หลบหนีออกจากอิรักตั้งแต่เมื่อปี 1995 ได้กุเรื่องโกหกบีเอ็นดี โดยบอกพวกเขาว่าซัดดัมมียานลำเลียงอาวุธชีวภาพเคลื่อนที่ และสร้างโรงงานอาวุธชีวภาพ
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาบีเอ็นดีได้สอบถามไล่เรียงจานาบี เกี่ยวกับคำพูดของ บัสซิล ลาติฟ (Bassil Latif) ผู้เคยเป็นนายเก่าของจานาบีในสำนักงานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมการทหารในอิรัก ที่ระบุว่าไม่มีรถบรรทุกใช้เป็นยานลำเลียงหรือโรงงานอะไรเหล่านี้เลย
ตามรายงานของการ์เดียน จานาบีเล่าว่าเขาได้บอกกับบีเอ็นดีไปว่า “โอเค เมื่อ (ลาติฟบอกว่า) ไม่มีรถบรรทุก ก็ตามนั้น”
แต่แม้เขายอมรับแล้ว จานาบีบอกว่า พวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็ยังคงยึดถือข้ออ้างที่กุขึ้นมาของเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อไป
รอฟิด อาเหม็ด อัลวาน อัล จานาบี (Rafid Ahmed Alwan al-Janabi) ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเยอรมนีและอเมริกาตั้งชื่อรหัสให้ว่า “เคิร์ฟบอล” (Curveball) ได้บอกกับ “บีเอ็นดี” หน่วยงานข่าวกรองของเยอรมนีว่า อิรักมีรถบรรทุกที่ใช้เป็นยานลำเลียงอาวุธชีวภาพเคลื่อนที่ รวมทั้งยังได้สร้างโรงงานผลิตอาวุธชีวภาพลับๆ ขึ้นหลายแห่ง
ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จนี้ ได้ถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานชิ้นเอกในคำปราศรัยสำคัญที่ คอลิน พาวล์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในขณะนั้น ไปกล่าวที่สหประชาชนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2003
ในคำปราศรัยดังกล่าว พาวล์ ได้เรียก จานาบี ว่าเป็น “วิศวกรเคมีชาวอิรัก” ซึ่งเป็น “ผู้กำกับตรวจสอบโรงงานดังกล่าวเหล่านี้แห่งหนึ่ง” และ “ในระหว่างที่กำลังมีการผลิตสารทางชีวภาพนั้น เขาอยู่ตรงนั้นด้วยจริงๆ นอกจากนั้นยังอยู่ในโรงงานแห่งที่ได้เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อปี 1998”
จานาบี บอกกับการ์เดียนว่า สิ่งที่ทำเขาลงไปนั้น “ผมอาจจะถูกก็ได้ ผมอาจจะไม่ถูกก็ได้”
“พวกเขาให้โอกาสนี้แก่ผม ผมมีโอกาสที่จะเสกสรรปั้นแต่งอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อโค่นระบอบปกครองนั้น ผมและบุตรชายต่างมีความภาคภูมิใจกับเรื่องนี้ และเรามีความภาคภูมิใจที่เราได้ถูกใช้เป็นเหตุผลเพื่อให้อิรักได้เป็นประชาธิปไตย”
“ผมต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อประเทศของผม ดังนั้นผมจึงทำเรื่องนี้ และผมพอใจมาก เพราะในอิรักไม่มีเผด็จการใดๆ อีกต่อไปแล้ว” เขากล่าวต่อ
สงครามอิรักที่บังเกิดขึ้นมา ได้ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไปมากกว่า 100,000 คน และทำลายเกียรติภูมิทางการเมืองทั้งของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯในขณะนั้น, โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมของเขา, และพันธมิตรของพวกเขา นายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษ
ตัวรัมสเฟลด์นั้นได้ยอมรับในหนังสือบันทึกความทรงจำที่เพิ่งออกวางตลาดในสัปดาห์ที่แล้วว่า เขา “พูดบิดเบือนเกินความจริง” เมื่อเขาอ้างว่า ซัดดัมมีสถานที่เก็บอาวุธทำลายร้ายแรง (weapons of mass destruction หรือ WMD) อยู่หลายแห่งรอบๆ กรุงแบกแดด และเมืองติกริต
จานาบีบอกกับการ์เดียนว่า ตัวเขาเองก็ “รู้สึกช็อก” เมื่อได้ยินคำปราศรัยของพาวล์ แต่เขาก็แก้ตัวว่า “พาวล์ไม่ได้บอกว่าผมคือเหตุผลเพียงประการเดียวในการเข้าทำสงคราม เขาพูดออกมา 3 ประการ คือ ยูเรเนียม, อัลกออิดะห์ในอิรัก, และเรื่องที่ผมบอกไป (อาวุธชีวภาพ)”
นอกจากนั้น จานาบียังกล่าวหาหน่วยบีเอ็นดี ว่าไม่รักษาข้อตกลงที่ว่าพวกเขาจะต้องไม่ส่งต่อข้อมูลของเขาไปให้ประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่เยอรมันผู้หนึ่งชื่อ “ดร.พอล” เข้ามาติดต่อกับจานาบีในปี 2000 ภายหลังสืบทราบว่า เขาเป็นวิศวกรเคมีที่ผ่านมาฝึกฝนอบรมของแบกแดด และเป็นไปได้ว่าจะทราบข่าวกรองวงในของระบอบปกครองของซัดดัม
“เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก เรื่องที่อิรักถูกปกครองโดยเผด็จการ และผมจำเป็นที่จะต้องช่วย” จานาบีผู้แปรพักตร์บอกกับการ์เดียน
จานาบีซึ่งต่อมาได้หลบหนีออกจากอิรักตั้งแต่เมื่อปี 1995 ได้กุเรื่องโกหกบีเอ็นดี โดยบอกพวกเขาว่าซัดดัมมียานลำเลียงอาวุธชีวภาพเคลื่อนที่ และสร้างโรงงานอาวุธชีวภาพ
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาบีเอ็นดีได้สอบถามไล่เรียงจานาบี เกี่ยวกับคำพูดของ บัสซิล ลาติฟ (Bassil Latif) ผู้เคยเป็นนายเก่าของจานาบีในสำนักงานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมการทหารในอิรัก ที่ระบุว่าไม่มีรถบรรทุกใช้เป็นยานลำเลียงหรือโรงงานอะไรเหล่านี้เลย
ตามรายงานของการ์เดียน จานาบีเล่าว่าเขาได้บอกกับบีเอ็นดีไปว่า “โอเค เมื่อ (ลาติฟบอกว่า) ไม่มีรถบรรทุก ก็ตามนั้น”
แต่แม้เขายอมรับแล้ว จานาบีบอกว่า พวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็ยังคงยึดถือข้ออ้างที่กุขึ้นมาของเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังต่อไป