เพื่อนแจ้งให้ทราบว่าที่ “สยามมิวเซียม” มีทฤษฎีที่มาของพระเจ้าอู่ทองนำเสนอไว้หลากหลาย หนึ่งในทฤษฎีนั้นระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง “เป็นกษัตริย์มาจากเขมร” อ้าว...แบบนี้ผมไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไปแล้วสิ ในบทความนี้ผมจะนำเสนอหลักฐานเสริมทฤษฎีนี้เพิ่มเติม
Charles Higham นักโบราณคดีที่โดดเด่น ในหนังสือ “Civilization of Angkor” ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่ได้ศึกษานครวัดในปี ค.ศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม) สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆ นครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ” 2) นักสำรวจโปรตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด
หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า “...ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จฯ มาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้....”
พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณ (ซึ่งไม่ใช่กัมพูชาวันนี้หรอกนะ)
ลพบุรี..มีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆ จะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “กัมโพช” ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย จู่ๆ เมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ อีกทั้งชินกาลฯ นั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง” ลวปุระ และเมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น” กัมโพช ซึ่งคำว่า “แคว้น” ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้
การที่ชินกาลฯ ใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า...พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม
นับเป็นพระปรีชาทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ล้านนายอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช แม้นว่าความจริงแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
แม้พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพชา หลักฐานคือชื่อพระราชวังที่หงสาวดีที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึก ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันกรุงโยเดีย (อยุธยา) แห่งแคว้นกัมโพชาที่ช่วยส่งเชลยไปสร้างวังให้ฟรีๆ
การออกเสียงนับเลขของชาวเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม ซึ่งผมได้อรรถาธิบายไว้ในบทความก่อนๆ แล้ว
ระบบการเขียนเลขขอมโบราณนั้นเป็นฐานสิบ แต่จะออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงออกเสียงนับเลขคงคล้ายๆ มอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญโบราณทีเดียวแหละ ซึ่งในวันนี้ภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ เหมือนกับสยามโบราณ
บทก่อน ตอนที่ ๓ มีคนทักผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษเรื่องเข็มด้าย (ในตอนที่ ๒) แบบลำเอียง..ภาษาอังกฤษที่แปลบันทึกโจวตากวนจากภาษาจีนโดยตรง (A RECORD OF CAMBODIA โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า” ผมไม่เห็นว่าลำเอียงตรงไหน ซึ่งทำให้ผมต่อกระเบื้องแตกไปแล้วว่า ชาวเขมรทอผ้า เย็บผ้าก็ยังไม่เป็น (นับเลขก็ได้แค่ ๕ อีกต่างหาก) แล้วจะไปมีความรู้สูงในการสร้างปราสาทหินได้อย่างไร
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างจากทฤษฎีเก่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทฤษฎีเก่านั้นมันมีรากมาจาก จอร์จ เซเดส์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นนักวิชาการแห่งเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ที่กำลังจะฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากสยาม เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นเชื้อสายวรมัน ทั้งที่พงศาวดารเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวาน ที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก (ซึ่งเซเดส์ น่าจะรู้เต็มอก แต่ทำเป็นมองไม่เห็น)
ส่วน “สยาม” นั้นตอนแรกฝรั่งว่ามาจากเขาอัลไต ต่อมาเซเดส์ สร้างทฤษฎีใหม่ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แต่หนีกุบไลข่านลงมาจาก “น่านเจ้า” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนอะไรเลย นอกจากบริบทหลวมๆ แต่เราก็น้อมรับทฤษฎีฝรั่งกันทั้งเมือง
ทฤษฎีใหม่ที่เสนอไว้นี้มีหลักฐาน เหตุผล บริบทสนับสนุนหนาแน่น แต่คงยากที่จะก้าวขึ้นเป็นทฤษฎีหลักของคนไทยได้ยกเว้นถ้ามีฝรั่งเห็นด้วยสักสองคน
Charles Higham นักโบราณคดีที่โดดเด่น ในหนังสือ “Civilization of Angkor” ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่ได้ศึกษานครวัดในปี ค.ศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม) สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆ นครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ” 2) นักสำรวจโปรตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด
หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า “...ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จฯ มาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้....”
พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณ (ซึ่งไม่ใช่กัมพูชาวันนี้หรอกนะ)
ลพบุรี..มีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆ จะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “กัมโพช” ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย จู่ๆ เมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ อีกทั้งชินกาลฯ นั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง” ลวปุระ และเมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น” กัมโพช ซึ่งคำว่า “แคว้น” ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้
การที่ชินกาลฯ ใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า...พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม
นับเป็นพระปรีชาทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ล้านนายอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช แม้นว่าความจริงแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
แม้พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพชา หลักฐานคือชื่อพระราชวังที่หงสาวดีที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึก ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันกรุงโยเดีย (อยุธยา) แห่งแคว้นกัมโพชาที่ช่วยส่งเชลยไปสร้างวังให้ฟรีๆ
การออกเสียงนับเลขของชาวเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม ซึ่งผมได้อรรถาธิบายไว้ในบทความก่อนๆ แล้ว
ระบบการเขียนเลขขอมโบราณนั้นเป็นฐานสิบ แต่จะออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงออกเสียงนับเลขคงคล้ายๆ มอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญโบราณทีเดียวแหละ ซึ่งในวันนี้ภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ เหมือนกับสยามโบราณ
บทก่อน ตอนที่ ๓ มีคนทักผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษเรื่องเข็มด้าย (ในตอนที่ ๒) แบบลำเอียง..ภาษาอังกฤษที่แปลบันทึกโจวตากวนจากภาษาจีนโดยตรง (A RECORD OF CAMBODIA โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า” ผมไม่เห็นว่าลำเอียงตรงไหน ซึ่งทำให้ผมต่อกระเบื้องแตกไปแล้วว่า ชาวเขมรทอผ้า เย็บผ้าก็ยังไม่เป็น (นับเลขก็ได้แค่ ๕ อีกต่างหาก) แล้วจะไปมีความรู้สูงในการสร้างปราสาทหินได้อย่างไร
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างจากทฤษฎีเก่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทฤษฎีเก่านั้นมันมีรากมาจาก จอร์จ เซเดส์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นนักวิชาการแห่งเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ที่กำลังจะฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากสยาม เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นเชื้อสายวรมัน ทั้งที่พงศาวดารเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวาน ที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก (ซึ่งเซเดส์ น่าจะรู้เต็มอก แต่ทำเป็นมองไม่เห็น)
ส่วน “สยาม” นั้นตอนแรกฝรั่งว่ามาจากเขาอัลไต ต่อมาเซเดส์ สร้างทฤษฎีใหม่ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แต่หนีกุบไลข่านลงมาจาก “น่านเจ้า” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนอะไรเลย นอกจากบริบทหลวมๆ แต่เราก็น้อมรับทฤษฎีฝรั่งกันทั้งเมือง
ทฤษฎีใหม่ที่เสนอไว้นี้มีหลักฐาน เหตุผล บริบทสนับสนุนหนาแน่น แต่คงยากที่จะก้าวขึ้นเป็นทฤษฎีหลักของคนไทยได้ยกเว้นถ้ามีฝรั่งเห็นด้วยสักสองคน