ASTVผู้จัดการรายวัน – ยอดขายแอร์ติดลมบน ส่งมิตซูบิชิ โตเกินเป้า 15% ในรอบ 3-4 ปี เดินหน้าลุยต่อเนื่อง ทุ่ม 750 ล้านบาททำตลาด มั่นใจแอร์ขนาดใหญ่ยอดขายพุ่ง ส่งภาพรวมรายได้ปี 54 โตแน่ 17% แตะ9,500 ล้านบาท พร้อมงัดคัลเลอร์มาร์เก็ตติ้ง มัดใจคนรุ่นใหม่
นายมาซาโนริ อูเอมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้ของบริษัทในปีงบประมาณ 2553 (เม.ย.52-มี.ค.53) จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 15% หรือกว่า 8,100 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ายังเหลืออีก 2 เดือนนั้น น่าจะเติบโตได้ถึง 17% ถือเป็นการเติบโตมากสุดในรอบ 3-4 ปี โดยการเติบโตนี้ มาจากกลุ่มเครื่องปรับอากาศบ้าน หลังจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน บวกกับมีการลดหย่อนภาษีส่งผลให้เครื่องปรับอากาศมีราคาต่ำลง 10% ทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น
ส่วนแผนงานปีงบประมาณ 2554 (เม.ย.53-มี.ค.54) ยังไม่มีการลงทุนใหม่ๆ หลังจากที่เพิ่งลงทุนขยายกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ไปเมื่อปีก่อน ขณะที่ปี 2554 นี้ บริษัทเตรียมงบการตลาดรวมไว้กว่า 750 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 50 ล้านบาท โฟกัสในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน และขนาดใหญ่ ที่มีขนาด 24,000 บีทียูขึ้นไป, ตู้เย็น, พัดลมระบายอากาศ, ปั้มน้ำ และอื่นๆ มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีการเติบโตได้กว่า 17% คิดเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 9,500 ล้านบาท
โดยเป็นการเติบโตที่มาจากยอดขายของกลุ่มเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ หลังจากที่เริ่มทำตลาดอย่างจริงจังในช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา คาดว่าการเติบโตจะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากตัวเลขในปี2553 เติบโตเป็น 100%
นายอนันต์ บรรเจิดธรรม กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป ส่วนการตลาดและการขาย กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปีนี้ จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้น เน้นทำตลาดแบบเจาะจงสินค้า ในลักษณะของ Select & Focus เช่น การนำเอากลยุทธ์ คัลเลอร์มาร์เก็ตติ้งมาใช้จับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้นกับผลิตภัณฑ์ตู้เย็น ในรุ่น3D vivid และพัดลม มายวินดี้ เป็นต้น
ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศนั้น ปัจจุบันมิตซูบิชิมีส่วนแบ่งกว่า 30% เป็นผู้นำในตลาดแอร์รวม จากความต้องการของตลาด 1 ล้านเครื่อง มูลค่าตลาดกว่า 14,500 ล้านบาท ขณะที่ในปีนี้คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 6-8% ทั้งในแง่มูลค่าและปริมาณ โดยในส่วนของมิตซูบิชิ คาดว่ากลุ่มเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจะเติบโตขึ้นอีก 10% มั่นใจจะส่งผลให้ภาพรวมรายได้บริษัทในปีงบประมาณ 2554 เติบโตได้อย่างน้อย 17% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,500 ล้านบาท จากปัจจุบันรายได้กว่า 55% มาจากเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน โดยตู้เย็นอยู่ที่ 21% ปั้มน้ำ 9% พัดลม 8% เครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ 3% ระบายอากาศ 2% และอื่นๆอีก 2%
นายมาซาโนริ อูเอมูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้ของบริษัทในปีงบประมาณ 2553 (เม.ย.52-มี.ค.53) จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 15% หรือกว่า 8,100 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ายังเหลืออีก 2 เดือนนั้น น่าจะเติบโตได้ถึง 17% ถือเป็นการเติบโตมากสุดในรอบ 3-4 ปี โดยการเติบโตนี้ มาจากกลุ่มเครื่องปรับอากาศบ้าน หลังจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน บวกกับมีการลดหย่อนภาษีส่งผลให้เครื่องปรับอากาศมีราคาต่ำลง 10% ทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการซื้อมากยิ่งขึ้น
ส่วนแผนงานปีงบประมาณ 2554 (เม.ย.53-มี.ค.54) ยังไม่มีการลงทุนใหม่ๆ หลังจากที่เพิ่งลงทุนขยายกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ไปเมื่อปีก่อน ขณะที่ปี 2554 นี้ บริษัทเตรียมงบการตลาดรวมไว้กว่า 750 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 50 ล้านบาท โฟกัสในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน และขนาดใหญ่ ที่มีขนาด 24,000 บีทียูขึ้นไป, ตู้เย็น, พัดลมระบายอากาศ, ปั้มน้ำ และอื่นๆ มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีการเติบโตได้กว่า 17% คิดเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 9,500 ล้านบาท
โดยเป็นการเติบโตที่มาจากยอดขายของกลุ่มเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ หลังจากที่เริ่มทำตลาดอย่างจริงจังในช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา คาดว่าการเติบโตจะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากตัวเลขในปี2553 เติบโตเป็น 100%
นายอนันต์ บรรเจิดธรรม กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป ส่วนการตลาดและการขาย กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปีนี้ จะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้น เน้นทำตลาดแบบเจาะจงสินค้า ในลักษณะของ Select & Focus เช่น การนำเอากลยุทธ์ คัลเลอร์มาร์เก็ตติ้งมาใช้จับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้นกับผลิตภัณฑ์ตู้เย็น ในรุ่น3D vivid และพัดลม มายวินดี้ เป็นต้น
ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศนั้น ปัจจุบันมิตซูบิชิมีส่วนแบ่งกว่า 30% เป็นผู้นำในตลาดแอร์รวม จากความต้องการของตลาด 1 ล้านเครื่อง มูลค่าตลาดกว่า 14,500 ล้านบาท ขณะที่ในปีนี้คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 6-8% ทั้งในแง่มูลค่าและปริมาณ โดยในส่วนของมิตซูบิชิ คาดว่ากลุ่มเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจะเติบโตขึ้นอีก 10% มั่นใจจะส่งผลให้ภาพรวมรายได้บริษัทในปีงบประมาณ 2554 เติบโตได้อย่างน้อย 17% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,500 ล้านบาท จากปัจจุบันรายได้กว่า 55% มาจากเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน โดยตู้เย็นอยู่ที่ 21% ปั้มน้ำ 9% พัดลม 8% เครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ 3% ระบายอากาศ 2% และอื่นๆอีก 2%