xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แถลงการณ์ 'ฮวยเซ็ง' เปลือย 'หน้าหล่อ' สตรอเบอรี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากหลักฐานและประจักษ์พยานทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏเกี่ยวกับปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาจนกระทั่งถึงวินาทีนี้ ได้เปลือยตัวตนที่แท้จริงของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขากำลังแปรเปลี่ยนสถานภาพของตัวเองจาก “นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย” ให้กลายเป็น “เจ้าของโรงงานน้ำแข็ง” ผู้มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร ซึ่งก็คือ “น้ำแข็ง” ชนิดที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งเลยทีเดียว

บทพิสูจน์ที่ชัดเจนยิ่งก็คือ แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาต่อกรณีวัดแก้วสิขาคีรีสวาระที่ตอกหน้าเจ้าของโรงงานน้ำแข็งผู้มีหน้าตาเป็นทรัพย์ผู้นี้ เพราะเป็นแถลงการณ์ที่ยืนยันว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 หรือ MOU43 ในข้อ 1(ค) นั้นยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

ขณะที่คำแก้ตัวของนายอภิสิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกรณีชาวบ้านหนองจานกับสระน้ำ UN กรณีศาลพิพากษาจำคุกนายวีระ สมความคิดและนางราตรี พรพิพัฒนาไพบูรณ์ และทั้งจากกรณีวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ ก็เป็นเพียงแค่การใช้วิชามารในการบิดเบือนข้อมูลไปวันๆ เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ สมญานาม “หน้าหล่อ สตรอเบอรี” จึงมีความเหมาะสมกับนายอภิสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง

สตรอเบอรี ครั้งที่ 1
แถลงการณ์ กต.ไทย

ถือเป็นสิ่งที่ประจานตัวเองอย่างชัดเจนยิ่ง สำหรับแถลงการณ์ 4 ข้อของกระทรวงการต่างประเทศที่ออกมาป่าวประกาศต่อสาธารณชนประหนึ่งว่าต้องการแสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวเข้าใส่รัฐบาลของนายฮุนเซนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เนื่องเพราะแถลงการณ์ทุกข้อล้วนแล้วแต่ตอกย้ำและแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของตนเองทั้งสิ้น

เพราะสุดท้ายแล้ว นายอภิสิทธิ์มิได้มีปฏิกิริยาต่อแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ยืดอกประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ซึ่งทำให้มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า นี่คือการเล่นลิ้นหรือการเล่นการเมืองที่มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติแต่ประการใด

ทั้งนี้ ถ้าหากนำแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเป็นโจทย์เริ่มต้น ก็จะพบการโกหกคำโตของผู้คนในรัฐบาลนี้อย่างขนานใหญ่ทีเดียว

เริ่มจากกรณี “วัดแก้วสิขาคีรีสวาระ” และ “ธงชาติกัมพูชา” ที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ที่เสมือนเป็นใยแมงมุมที่มัดคอนายกฯ รูปหล่อและรัฐมนตรีกุ๊ยอย่างดิ้นไม่หลุด เพราะการที่แถลงการณ์ประกาศชัดเจนว่า วัดแก้วฯ ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย มิใช่อยู่ในดินแดนที่เป็นข้อพิพาท สิ่งเดียวที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะกระทำได้ มิใช่การประท้วงหรือการเจรจา หากแต่ต้องใช้กำลังผลักดันทหารกัมพูชาและรื้อวัดแก้วฯ ทิ้งเพียงสถานเดียวเท่านั้น

มิฉะนั้นแล้วรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะมีความผิดตามรัฐธรรมนูญและพ้นสภาพจากความเป็นรัฐบาลในทันทีเนื่องจากไม่สามารถปกป้องและธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยแห่งชาติเอาไว้ได้

แต่สุดท้ายรัฐบาลนี้ก็มิได้ทำอะไร

ตามต่อด้วยกรณีแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทยที่แม้จะประกาศไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา แต่กลับมีตรรกะที่สับสนเกี่ยวกับเอกสาร 3 ฉบับ เพราะในขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 แต่นายอภิสิทธิ์กลับยอมรับ MOU43 ที่มีประจักษ์พยานและหลักฐานชัดเจนว่ายอมรับในแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

เพราะในขณะที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อ้างอิงถึงอนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสปี ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 ที่ยอมรับการปักปันเขตแดนผ่าน “สันปันน้ำ” แต่ในเอกสารกลับไม่ยอมยกเลิก MOU43 ที่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

เพราะขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์โดยรัฐมนตรีกุ๊ยยืนยันว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 ว่า มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์กลับเรียกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรว่าเป็นพื้นที่พิพาท ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นของราชอาณาจักรไทยอย่างสมบูรณ์

เพราะขณะที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ใน MOU 43 แต่ในแถลงการณ์ฉบับเดียวกันกลับระบุว่าจะยึดการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบ JBC ซึ่ง JBC เป็นผลพวงที่เกิดจาก MOU 43

มิหนำซ้ำเมื่อวันที่ 26 ม.ค.54 ทหารไทยภายใต้การสั่งการรัฐบาลประชาธิปัตย์ยังได้ติดตั้งป้ายใหม่โดยเขียนข้อความ “พื้นที่นี้เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ (4.6 ตร.กม.) จะรู้แน่ชัดต่อเมื่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ดำเนินการปักปันเสร็จเรียบร้อยแล้ว” อีกต่างหาก

ด้วยเหตุดังกล่าวในทางปฏิบัติจึงมิได้เป็นอย่างที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ป่าวประกาศออกมาแต่ประการใด หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ เป็นการแก้ตัวและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบขอไปทีโดยที่มิได้ปรารถนาจะให้เกิดมรรคผลขึ้นมาแต่ประการใด

คำถาม คำถามเดียวที่มีถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีกุ๊ยก็คือ หลังจากแถลงการณ์แล้ว จะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อตัวนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีและพล.อ.ประวิตรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้รับลูกด้วย

สตรอเบอรี ครั้งที่ 2
เขมรตอกหน้า MOU43 รับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

ที่สำคัญคือภายหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศไทยออกแถลงการณ์มา กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาก็แถลงกลับมาทันทีว่า วัดแก้วฯ เป็นอาณาเขตของกัมพูชา พร้อมตอกย้ำให้เห็นถึงความสตรอเบอรีของรัฐบาลนี้อีกครั้งเพราะ เป็นแถลงการณ์ที่ประกาศชัดเจนว่า MOU 43 รัฐบาลไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 อย่างยินยอมพร้อมใจ

 แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ขอยืนยันถึงจุดยืนของกัมพูชา ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2447 ฝรั่งเศสและสยามได้ลงนามในอนุสัญญาจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อกำหนดขันธสีมาเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม ในช่วงเวลาระหว่างปี 2448-2451 คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม ได้จัดทำแผนที่รวม 11 แผ่น ทั้งนี้มีแผนที่กำหนดขันธสีมาเขตแดนในพื้นที่ 6 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่ปราสาทพระวิหารรวมอยู่ด้วย           

แถลงการณ์ระบุต่อว่า เมื่อปี 2497 ทหารไทยได้เข้ารุกรานดินแดนกัมพูชาและเข้าครอบครองปราสาทพระวิหาร วันที่ 6 ตุลาคม 2502 กัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก กรณีรุกรานดินแดนกัมพูชา โดยยึดตามแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส-สยาม เป็นสำคัญ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ดังต่อไปนี้“ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ประเทศไทยมีภารกิจถอนกำลังทหาร  ตำรวจ กองกำลังรักษาชายแดน หรือผู้ดูแลอื่น ๆ ที่ทางการไทยได้ส่งมาประจำการในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร หรือในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา”

แถลงการณ์ระบุอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศในนามรัฐบาลกัมพูชา ได้ยืนยันว่า มาตรา 1(C) ในบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทยว่าด้วยการวัดและกำหนดเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543 ได้ยอมรับซึ่งแผนที่ตามที่ได้นำเรียนในข้างต้นว่า เป็นมูลฐานกฎหมายสำหรับภารกิจรังวัดและกำหนดเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย อ้างตามแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส-สยาม วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่ประชาชนกัมพูชาได้สร้างขึ้นเมื่อปี 2541 มีที่ตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้การประดับธงชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาภายในวัดนี้ ถือเป็นการชอบธรรมตามกฎหมาย ดังนั้น ข้อเรียกร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2554 ที่ให้กัมพูชาปลดธงชาติออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระของกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศขอยืนยันว่า แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยนั้นไม่สามารถยอมรับได้ และราชอาณาจักรกัมพูชาขอปฏิเสธอย่างแข็งขันซึ่งข้อเรียกร้องอันดูถูกนี้ 

พร้อมประกาศทิ้งท้ายเอาไว้อย่างดุดันและเข้มแข็งว่า “ ประเทศกัมพูชาขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมด้วยกฎหมายเพื่อปกป้องซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนและอำนาจอธิปไตยของตัวเอง”

ขีดเส้นใต้กันชัดๆ อีกครั้งว่า MOU43 ที่นายอภิสิทธิ์ยึดเป็นเป็นคัมภีร์อันวิเศษในการแก้ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา และปฏิเสธว่าไม่ได้ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั้น รัฐบาลกัมพูชามิได้คิดอย่างที่นายอภิสิทธิ์คิดแต่อย่างใด แถมยังระบุชัดเจนด้วยว่า MOU43 ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000

นี่คือบทพิสูจน์ให้เห็นถึงตรรกะตัว S ที่นายอภิสิทธิ์และนายศิริโชค โสภา วอลเปเปอร์คู่ใจนำมาใช้อธิบายต่อสังคมว่า เป็นตรรกะที่เป็นเพียงข้อแก้ตัวให้กับความผิดพลาดที่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเซ็นลงนามเอาไว้ใน MOU43

และนี่คือบทพิสูจน์ที่ตอกหน้าข้อแก้ตัวของนายอภิสิทธิ์ว่า MOU43 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดน เพราะแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุชัดเจนแล้วว่า วัดแก้วฯ เป็นของกัมพูชา และMOU43 คือการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

“คำพิพากษาศาลโลกไม่ได้พิพากษาชี้ขาดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่พูดถึงเขตแดนอาณาเขตที่พิพาท ทำให้ตลอดระยะเวลาคำพิพากษาศาลโลก กัมพูชาไม่เคยประกาศพระราชกฤษฎีกา ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เลย เพิ่งมาประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2550 หลังมีเอ็มโอยู 43 ได้ 7 ปี ด้วยเหตุที่เอ็มโอยู 43 มีข้อตกลงให้เอาแผนที่ 1 ต่อ 200,000 มาเทียบเขตแดนแล้วไทยไม่ปฏิเสธ ทำให้กัมพูชาหยิบคำบรรยายท้ายฟ้องที่ได้เปรียบมาลบล้างทุกประเด็นที่เราโต้แย้งเพื่อจะใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพียงอย่างเดียว”นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ข้อมูลตอกย้ำถึงความสตรอเบอรีเรื่องการไม่เสียดินแดน

เช่นเดียวกับธงชาติที่ประดับอยู่เหนือประตูทางเข้าวัดแก้วฯ ที่จนป่านนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังไม่มีปัญญานำลงมา แถมยังแก้เกี้ยวด้วยการชักธงชาติไทยขึ้นที่บริเวณสถูปคู่ใกล้ๆ กับวัดแก้วฯ

ซ้ำร้าย “พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร” แม่ทัพภาคที่ 2 ยังให้สัมภาษณ์อีกต่างหากว่า “ก็มีการปักธงชาติกันทั้ง 2 ประเทศ ทั้งประเทศไทยเราและของฝ่ายกัมพูชา คิดว่า ไม่น่าจะมีอะไร เมื่อมีการปักปันเขตแดนชัดเจนแล้วก็ค่อยเอาออก”

พล.อ.ประวิตรและพล.ท.ธวัชชัยคงลืมไปว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยแถลงการณ์ออกมาชัดเจนแล้วว่า วัดแก้วฯ ตั้งอยู่บนดินแดนของประเทศไทย เพราะการชักธงเหนือบริเวณสถูปคู่มิได้มีประโยชน์อะไร เนื่องจาก ณ จุดนั้นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คือดินแดนของคนไทยโดยสมบูรณ์แบบ

นี่คือการโกหกที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวอันใดมาอ้างได้

ส่วนกรณีรื้อวัดแก้วฯ พล.อ.ประวิตรยืดอกตอบด้วยความมั่นใจว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น อาจมีการเข้าใจผิด ทุกอย่างต้องทำตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ สิ่งไหนที่เกิดขึ้นก่อนปี 2543 ก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วในเอ็มโอยูก็ระบุชัดเจน และสิ่งไหนที่เกิดขึ้นหลังปี 2543 ก็ต้องเอาออก”

สรุปก็คือ รื้อไม่ได้เพราะติดปัญหาเรื่อง MOU43

คำถามที่เกิดขึ้นตามมาทันทีก็คือ แล้วนายอภิสิทธิ์และกระทรวงการต่างประเทศจะทำอย่างไรต่อไป

จะตั้งหน้าตั้งตาทำหนังสือประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา หรือว่าจะตัดสินใจใช้กำลังทหารในการแก้ปัญหา พร้อมกับแถลงตอบโต้กลับไปด้วยความรวดเร็วว่า ประเทศไทยขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมด้วยกฎหมายเพื่อปกป้องซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนและอำนาจอธิปไตยของตัวเอง ซึ่งถ้าทำเช่นนี้จริง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็จะต้องพบกับปัญหาเดิมซ้ำๆ ซากๆ เช่นเดิมว่า การใช้กำลังทหารขัดกับบันทึกข้อตกลงใน MOU43

ถามว่า นายอภิสิทธิ์จะกล้าทำเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งเชื่อขนมกินได้เลยว่า จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “วิชามาร” เพื่อซื้อเวลาในการนั่งเป็นรัฐบาลออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

และสุดท้ายก็เป็นไปตามคาด เมื่อนายอภิสิทธิ์ดิ้นพลาดๆ ภายหลังการแถลงการณ์ตอบโต้ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(วันที่ 1 ก.พ.54) ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการรื้อถอนวัดแก้วฯ มีเพียงแค่การพูดถึงการที่ทางกัมพูชาชักธงขึ้น

“เราเห็นว่าทางกัมพูชาควรจะเอาธงลง โดยระหว่างนี้ เราก็เอาธงของเราขึ้นไปก่อน”

ตกลงว่า แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและนายอภิสิทธิ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หรือต่างคนต่างทำ

แถมนายอภิสิทธิ์ยังประโคมโอ่ถึงคุณอันวิเศษของ MOU43สำทับอีกชั้นด้วยว่า “เรายืนยันว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงปัญหาก็จะหมดไป ฉะนั้นเห็นว่า ถ้าทุกอย่ากลับไปสู่กระบวนการของการใช้เอ็มโอยูเข้ามาแก้ไข ปัญหาก็จะลดลง ตรงนั้นน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด”

นี่เป็นตรรกะอันสับสนอีกครั้งของนายอภิสิทธิ์ เพราะขณะที่นายอภิสิทธิ์ยึดมั่นถือมั่นใน MOU43 แต่รัฐบาลกัมพูชาของนายฮุนเซนไม่เคยสนใจที่จะกระทำการตามกฎกติกาที่เขียนเอาไว้ใน MOU43 เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังใช้ MOU43 เป็นเครื่องมือในการรุกดินแดนของไทยอีกต่างหาก

เพราะในข้อ 5 ของ MOU43 ระบุชัดเจนว่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

นอกจากนี้ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความปลิ้นปล้อนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็คือการสำนักข่าวดึมอัมปึล ซึ่งมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชา ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ COMMENTARY: Abhisit Vejjajiva TAKING CAMBODIA HOSTAGE IN TIME OF INTERNAL POLITICAL CRISIS เขียนโดย วัฒนา พ.นักวิเคราะห์อาวุโส และนักวิจัย เกี่ยวกับความสัมพันธ์กัมพูชา-ไทย สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กัมพูชา

บทความชิ้นนี้ระบุชัดเจนว่า “....ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน ในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ตามแผนที่ระวางดงรัก ซึ่งเป็นแผนที่ในภาคผนวก 1 ในคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1962 (พ.ศ.2505) ซึ่งกัมพูชาจะทำอะไรก็ได้ในพื้นที่บริเวณนี้ ที่เป็นอาณาเขตของกัมพูชาตามเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ระวางดงรัก หรือแผนที่ภาคผนวก 1 มีการกล่าวถ้อยคำพล่อยๆ โดยนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่รายงานโดยหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ฉบับวันที่ 28 มกราคม ระบุว่า “ถ้ามีธง (ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ) ก็ต้องเอาลง” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องถอนคำพูดที่ไม่สามารถยอมรับได้นี้ เพราะว่าวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ ตั้งอยู่ 300 เมตรทางตะวันตกของปราสาทพระวิหาร และอยู่ลึกเข้ามาในเขตดินแดนของกัมพูชา 700 เมตร”
       
สตรอเบอรี ครั้งที่ 3
จับ 7 คนไทย-หนองจาน-สระน้ำ UN

อย่างไรก็ตาม และถ้าจะว่าไปแล้ว กรณีแถลงการณ์ 4 ข้อก็เป็นเพียงหนึ่งในวิชาสตรอเบอรีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์งัดออกมาใช้หรือสร้างภาพในยามที่จำนนต่อหลักฐาน เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลชุดนี้ก็พยายามบิดเบือนข้อมูลมาโดยตลอด

เริ่มตั้งแต่การที่นายอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีกุ๊ยและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ข้อมูลอันเป็นผลลบต่อการช่วยคณะ 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวโดยยอมรับว่า ถูกจับในพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งๆ ที่มีประจักษ์พยานมายืนยันว่า เป็นผืนแผ่นดินไทย หรืออย่างน้อยถ้าเป็นแค่การถูกจับในเส้นปฏิบัติการตามที่นายอภิสิทธิ์นำแผนที่มานำเสนอ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็จะต้องประกาศอย่างแข็งกร้าวให้นายฮุนเซนส่งตัวคณะ 7 คนไทยกลับมาทันที

มิใช่ปล่อยให้กัมพูชาลากคอ 7 คนไทยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลถึงเท่ากับยอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาต่ออธิปไตยของดินแดนของทั้งสองประเทศ กระทั่งศาลกัมพูชามีคำพิพากษาให้ทั้ง 7 คนไทยมีความผิดฐานรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ นอกจากไม่ช่วยเหลือแล้ว คนในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยังให้ข้อมูลที่เป็นโทษต่อทั้ง 7 คนไทยอีกต่างหากด้วยการยอมรับว่า ถูกจับในดินแดนของกัมพูชาในฉับพลันทันทีที่ 7 คนไทยถูกจับทั้งๆ ที่ยังมิได้มีการสำรวจตรวจตราให้เป็นที่ชัดเจนเสียก่อน

แต่ที่สังคมรับไม่ได้อย่างยิ่งก็คือ ก่อนที่ศาลกัมพูชาจะมีคำพิพากษานายวีระและนางราตรีเพียงแค่ 1 วัน บรรดาลิ่วล้อและกุนซือของรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการจัดฉากนำชาวบ้านหนองจานเข้าพบนายอภิสิทธิ์ที่ทำเนียบรัฐบาลพร้อมกับเปิดชุดข้อมูลเรื่องสระน้ำยูเอ็นอยู่ในเขตกัมพูชาเพื่อหักล้างหลักฐานจากภาคประชาชนอย่างหน้าด้านๆ

นายอภิสิทธิ์ทำเช่นนั้นทำไม ทำเพื่อเป็นการตอกย้ำว่า คนไทยทั้ง 7 คนทำผิดด้วยการรุกล้ำดินแดนกัมพูชาและต้องการให้ศาลกัมพูชามีคำพิพากษาจำคุกนายวีระและนางราตรี ศัตรูตัวเอ้ของตนเองให้ถูกขังลืมชนิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันในคุกของกัมพูชาเช่นนั้นหรือ

การกระทำของนายอภิสิทธิ์มีเป้าประสงค์เพียงแค่ยืนยันให้เห็นถึงคุณอันวิเศษของ MOU43 โดยที่มิได้สนใจไยดีหรือมีท่าทีที่จะช่วยให้นายวีระและนางราตรีให้กลับคืนสู่แผ่นดินแม่เพียงแค่นั้นหรือ

ทั้งนี้ ถ้าหากย้อนหลังกลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสระน้ำ UN และหนองจานก็จะเห็นถึงเบื้องหลังของการจัดฉากที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 31 ม.ค.54 เพราะก่อนหน้านี้เคยมีชาวสระแก้วกลุ่มหนึ่งเดินทางมาพบนายอภิสิทธิ์ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่สูญเสียที่ดินทำกินของตนเองจากปัญหาเขมรอพยพ และระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “สระน้ำ UN อยู่ในฝั่งไทย” และอยู่ในที่ดินของชาวบ้าน โดยมีเอกสารสิทธิทำกินประเภท ส.ค.1 อยู่บริเวณสระน้ำ UN ของนายนายหมา อันสมศรี และยังมีที่ดินอยู่ด้านทิศตะวันออกของสระน้ำ UN ของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ

ขณะที่กลุ่มชาวบ้านที่มาให้ข้อมูลอันเป็นคุณกับกัมพูชานั้น ได้รับการพิสูจน์ในเวลาต่อมาว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นนายทุนที่ทำธุรกิจค้าขายสัตว์บริเวณชายแดนและกลุ่มนักการพนัน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการบางแห่งในพื้นที่ให้ออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติก่อนหน้านี้

...ประจักษ์พยานทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ยิ่งนานวันไป ยิ่งสะท้อนให้เห็นธาตุแท้และตัวตนที่แท้จริงของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ให้ปรากฏชัดเจนขึ้นว่า นอกจาก “ความดื้อตาใส” แล้ว ยังได้เปลี่ยนสถานภาพเป็น “เจ้าของโรงงานทำน้ำแข็ง” ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ต่อไปเพียงประการเดียวเท่านั้น

กำลังโหลดความคิดเห็น