xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สัมภาษณ์พิเศษ คลี่หัวใจแกร่ง ทหารไทยที่เขมรสุดแค้น 'พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - 'พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ' ชื่อของนายทหารผู้นี้คงต้องอยู่ในความทรงจำของ 'สมเด็จฮุน เซน' นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้กระหายจะครอบครองแผ่นดินไทยไปอีกนานแสนนาน เนื่องด้วยเขาคือทหารกล้าที่นำกำลังบุกเข้าไปช่วย 3 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับตัวไป ขณะที่นั่งปฏิบัติธรรมอยู่บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย เมื่อเดือน ก.ค.2551

ขณะนั้นเขายังดำรงตำแหน่ง 'ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี' ดูแลพื้นที่จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งวีรกรรมดังกล่าวได้สร้างความแค้นเคืองให้ทหารกัมพูชาถึงขั้นลงมือทำแผ่นป้ายศิลา มาตั้งที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ณ จุดที่ พล.ต.กนก (ยศในขณะนั้น) บุกเข้าไปช่วยคน 3ไทย เพื่อแสดงการประท้วง พร้อมทั้งประณามทหารไทยผู้นี้ว่าเป็นผู้รุกรานแผ่นดินกัมพูชา

แม้ป้ายดังกล่าวจะถูกทหารกัมพูชาทุบทำลายไปแล้ว แต่ประเด็นนี้ได้กลายเป็นประเด็นที่ปลุกกระแสรักชาติให้คนไทย ทำให้ประชาชนจำนวนออกมาแสดงความไม่พอใจการรุกล้ำแผ่นดินไทยของกัมพูชา ขณะที่กองทัพไทยได้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อกัมพูชาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยได้สั่งให้กองกำลังทหารไทยเข้าประจันหน้ากับทหารกัมพูชาเพื่อประกาศศักดากดดันให้กัมพูชาปลดป้ายดังกล่าวลงทันที !!

'ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์' ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับ พล.ท.กนก ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ทรงวุฒิพิเศษกองทัพบก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 รวมถึงแนวคิดมุมมองในการปกป้องผืนแผ่นดินจากการรุกรานของกัมพูชา

**อยากให้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ขึ้นไปช่วยคนไทยกลุ่มธรรมยาตรา ที่ไปนั่งปฏิบัติธรรมบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทยแต่ถูกทหารเขมรจับตัวไป

คือเช้าวันที่ 15 ก.ค.51 (รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช) เวลาประมาณ 7.00 น.ผมก็ได้รับรายงานว่ามีคนไทย3 คน คือ ผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 1 คน และพระ 1 รูป ได้มุดรอดประตูเหล็กที่กั้นบริเวณบันไดทางขึ้นประสาทพระวิหาร ซึ่งทางกัมพูชาเอากุญแจมาคล้องไว้ และด้านล้างขึงด้วยลวดหนาม คนไทยกลุ่มนี้ก็มุดเข้าไปนั่งปฏิบัติธรรมอยู่บริเวณบันไดหลังประตูเหล็ก แล้วถูกทหารกัมพูชาจับตัวเข้าไปข้างใน เมื่อผมได้รับรายงานผมก็บอกให้หน่วยทหารพราน 23 ไปทหารงานกับทางกัมพูชาให้ส่งตัวคนไทยกลับมา แล้วผมก็รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นผมก็เดินทางไปที่ผามออีแดง ไปถึงก็ประมาณ 11.30 น. ปรากฏว่าคนไทยทั้ง 3 คนก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ถึงผามออีแดงก็ได้เจอกับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ รองผู้การตำรวจ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และผู้การกรมทหารพราน 23 แล้วก็พากันเดินไปที่ประตูเหล็ก ติดต่อขอตัวคนไทยคืน ทางฝ่ายกัมพูชาก็บอกว่าอยู่ข้างในแต่เขาไม่ยอมให้ออกมา ผมก็เลยพากำลังทหาร 20 นาย พร้อมด้วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ขึ้นไปที่วัดแก้วฯ (วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ) ซึ่งกัมพูชาเข้ามาสร้างในพื้นที่ไทย

ในเส้นทางที่เดินขึ้นไปมันก็ผ่านทหารเขมรซึ่งตรึงกำลังอยู่บริเวณนั้น เขาก็ตกใจนะว่าเราพาทหารไทยขึ้นไปทำอะไร พอขึ้นไปถึงทางทหารเขมรเขาก็ประสานขอเจรจา ผมก็บอกว่าให้ปล่อยตัวคนไทย เขาก็ยอมปล่อย ผมก็ถามคนไทยที่ถูกจับไปว่าทหารเขมรทำอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าทหารกัมพูชาให้คนไทยลงบันทึกเป็นเอกสารว่าเราไปรุกล้ำพื้นที่เขา ผมก็เลยขอเอกสารจากทหารกัมพูชาคืนทั้งหมด เขาก็ยอมคืนให้ คือผมต้องยึดถือแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เพราะเป็นแผนที่ซึ่งทหารไทยใช้มาตลอด

**ขณะที่ในปี 2551 มันมี MOU43 ซึ่งไปอิงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ออกมาแล้ว แต่ท่านก็ยังมองว่าเราต้องยึดแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เพราะอะไรท่านจึงมองเราควรจะยึดแผนที่ฉบับนี้

ไม่ใช่ผมนะครับ...คือ ณ ปีที่ผมดูแลพื้นที่ศรีสะเกษอยู่เนี่ย กองทัพไทยเรายึดถือแผนที่ 1 ต่อ 50,00

**หลังจากท่านนำกำลังทหารเข้ากดดันและรับตัวคนไทยออกมาแล้ว ก็ยังมีการตรึงกำลังทหารไว้อยู่ใช่ไหม

คือกว่าผมได้จะภาพถ่ายและเอกสารที่ทหารเขมรให้คนไทยเซ็นรับสารภาพว่ารุกล้ำเขตแดนกัมพูชาคืนมามันก็ค่ำแล้ว ผู้บังคับบัญชาก็บอกให้ผมอยู่ที่นั่นก่อน ตอนนั้นกำลังทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาต่างก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผมได้รับคำสั่งให้ตรึงกำลังอยู่บนนั้นก็มีทหารไทยก็ตามขึ้นไปสมทบ เพื่อความปลอดภัยเราก็เข้าไปอยู่ในบริเวณวัดแก้วฯ รุ่งเช้ากำลังของฝ่ายเราก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยคน ส่วนกำลังของทหารกัมพูชาก็มากกว่าไทยนิดหน่อย

**ตอนนั้นสถานการณ์ตึงเครียดหรือไม่

ก็ตึงเครียดสิครับ เพราะทหารทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ห่างกันแค่ 10 เมตร ก็มองเห็นกันหมด เขาก็พยายามกดดันให้เราออกจากวัดแก้วฯ แต่ก็ไม่ถึงขั้นปะทะกันเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ซึ่งจุดที่ทางกัมพูชามาปักป้ายประณามทหารไทยว่ารุกล้ำดินแดนกัมพูชาก็คือจุดที่ผมเข้าไปอยู่ตอนนั้น ผมก็นอนอยู่ตรงนั้น ทำงานอยู่ตรงนั้น ซึ่งจะอยู่ด้านเหนือวัดขึ้นไปอีกทีหนึ่ง คือตรงนั้นมันจะเป็นก้อนหินขนาดประมาณ 10 กว่าเมตร ผมก็อยู่บนนั้น 5 วัน 4 คืน กลับลงมาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.(2551) ก่อนที่ผมจะลงมานี่กำลังของทหารไทยอยู่ที่ 200 นาย ส่วนทหารกัมพูชามีถึง 400 นาย

คือหลังจากเหตุการณ์ที่ผมนำกำลังเข้าไปช่วย 3 คนไทยออกมา ทั้งไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายก็นำกำลังเข้าไปตรึงเพื่อรักษาพื้นที่ ตอนนั้นผมลงมาเพราะกองกำลังของฝ่ายไทยขึ้นไปมากและมีการกระจายกำลังกันหลายจุด ผมก็เลยต้องให้รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีมาอยู่ที่วัดแก้วฯ แทนผม ส่วนผมก็ลงไปควบคุมอำนวยการอยู่ที่ผามออีแดง

**ตอนที่ตัดสินใจขึ้นไปช่วยคนไทย นำกำลังทหารขึ้นไปแค่ 20 คน ขณะที่ทางกัมพูชาน่าจะทหารที่ดูแลพื้นที่อยู่จำนวนไม่น้อย ไม่กลัวหรืออย่างไร

ทหารนี่มันอยู่ที่การตัดสินใจ อยู่ที่สถานการณ์ ตอนนั้นผมใช้วิธีจู่โจม ซึ่งทางทหารกัมพูชาก็ไม่คิดว่าเราจะบุกขึ้นไป เราขึ้นไปแล้วเราก็ต้องรู้จักป้องกันตัว คือ 20 คนที่ขึ้นไปด้วยกันก็มีทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน พอเราขึ้นไปถึงก็มีกำลังทหารซึ่งเขาเป็นห่วงว่า..อ้าว ผู้บังคับบัญชาขึ้นไปแล้ว เขาตามขึ้นไปสมทบ ก็ทยอยขึ้นไปสมทบเรื่อย เย็นวันนั้นก็น่าจะมีทหารขึ้นไปเกือบ 100 นาย

**ดูเหมือนว่าถ้าเราไม่ยอม เขมรก็ทำอะไรเราไม่ได้

มันอยู่ที่สถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาในการทำงานนะ

**อยู่ที่การสั่งการของผู้บังคับบัญชาด้วย

ก็มีส่วนนะ ตอนนั้นผมได้รับคำสั่งว่าให้ไปนำตัว 3 คนไทยกลับมา เพราะฉะนั้นผมก็ดำเนินการ

**เพราะฉะนั้นกรณีการให้ความช่วยเหลือ 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับตัวไป เมื่อต้นเดือน ม.ค. ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าทหารไม่ให้ความสนใจนั้น ก็คงจะโทษทหารไม่ได้เพราะเขาไม่ได้มีคำสั่งให้เอาตัว 7 คนไทยกลับมา

อันนั้นผมไม่ทราบ (หัวเราะ)

**ตอนที่เข้าไปช่วย 3 คนไทย ก็มี MOU43 แล้ว แต่หลังจากเจรจาแล้วทางเขมรไม่ยอมปล่อยตัวคนไทย ทหารไทยจึงนำกำลังเข้าไปกดดันจนมีการปล่อยตัว อย่างนี้ก็แปลว่า MOU43 ไม่มีผลต่อปฏิบัติการช่วยเหลือคนไทย

เอ่อ...MOU43 นี่ส่วนใหญ่เราจะใช้ในการประท้วงกรณีที่ทางกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆในพื้นที่ของไทย หรือพื้นที่ซึ่งมีข้อพิพาท หน่วยงานในพื้นที่ก็จะประท้วงและรายงานขึ้นไปตามสายการคับบัญชาเพื่อให้หน่วยเหนือดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

**ตอนนั้นมีความพยายามผลักดันให้ทหารเขมรออกไปจากพื้นที่รอบเขาพระวิหารไหม

เราก็ได้รับคำสั่งให้ยึดรักษาพื้นที่บริเวณที่เราเข้าไปตรึงกำลังไว้

**เห็นว่าหลังจากปฏิบัติการครั้งนั้นท่านโดนคำสั่งโยกย้าย

โอ้ย..ผมย้ายตอนเดือน เม.ย.ปี 52 ครับ ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ในตำแหน่งนี้ได้ปีครึ่ง จากนั้น ต.ค.2553 ก็มาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งการโยกย้ายก็อยู่ที่ผู้บังคับบัญชาครับ

**มีการมองกันว่าการย้ายไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเนี่ยเป็นการถูกเก็บเข้ากรุ

(หัวเราะ) อันนี้ก็แล้วแต่ครับ.....

**ในขณะที่ภารกิจที่ท่านทำเมื่อปี 2551 คือการปกป้องแผ่นดินไทยจากการรุกรานของเขมร

อันนี้ผมถือว่าหน้าที่นะ เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำ ซึ่งผมทำมาตลอดชีวิตราชการ

**แล้ววัดแก้วสิกขาคีรีสวาระนี่สร้างขึ้นเมื่อไหร่

ชาวกัมพูชาเพิ่งเข้ามาสร้างเมื่อประมาณปี 2542 (สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย) โดยเขาเดินขึ้นมาทางบ้านโกมุย (ซึ่งอยู่บริเวณด้านล่างเขาพระวิหาร ด้านประเทศกัมพูชา) เพราะมันมีการปรับพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2536 (สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย) คือเขาใช้รถเกดดินปรับเส้นทางขึ้นมา

**กัมพูชาเข้ามาสร้างได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่นี้เป็นของไทย ซึ่งห้ามไม่ให้ชาวเขมรเข้ามาอยู่แล้ว

คือตอนนั้นบนเขาพระวิหารมันมีการสู้รบระเบิดมีอะไร พอทหารเขมรรุกเข้ามาเขาก็ค่อยๆ ขยับขยายพื้นที่ และต่อมา ในปี 2541(สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย) เขาก็เปิดให้เข้าชมประสาทพระวิหาร โดยความร่วมมือของรัฐบาลไทยกัมพูชา จากนั้นกัมพูชาก็ค่อยๆขบับขยายพื้นที่ สร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมา

**เมื่อเห็นว่าทางกัมพูชาสร้างวัดแก้วฯ บนพื้นที่ของประเทศไทย รัฐบาลในขณะนั้นไม่ได้คัดค้านหรืออย่างไร

ตอนนั้นหน่วยทหารในพื้นที่ก็ประสานขอให้กัมพูชาหยุดดำเนินการ พอเราคัดค้านทางเขมรก็หยุดสร้างเป็นพักๆ แล้วก็สร้างต่ออีก ทางเราก็ยื่นหนังสือประท้วงไป ซึ่งมันไม่ได้มีปัญหาเรื่องการสร้างวัดอย่างเดียว ยังมีการเข้ามาสร้างชุมชน แล้วก็ปล่อยน้ำเสียลงมา ตอนนั้นก็มีคณะกรรมการ 2 ฝ่าย ทั้งไทย-กัมพูชา ก็มีการเจรจากันตลอด

**แปลว่าที่ผ่านมาทางไทยประท้วงไปเท่าไร กัมพูชาเขาก็ไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ยกเว้นในปี 2548 ซึ่งมีการเผชิญหน้ากัน ชาวกัมพูชาที่เข้าอยู่ตามแนวชายแดนก็จะลดลงไปหน่อย

**แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตาม MOU43 เพราะ MOU43 ระบุว่าห้ามไม่ให้มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ ในพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาท
คือถ้าเขาทำ เราก็ประท้วง บางครั้งเมื่อประท้วงไป เขาก็ระงับการก่อสร้าง

**ดูเหมือนว่าทางกัมพูชาจะหยุดก่อสร้าง หรือยอมถอยกองกำลังของเขาออกไปก็ต่อเมื่อทางไทยใช้กำลังทหารกดดัน

ปัจจุบันก็ยังมีการเผชิญหน้ากันอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย

**แล้วสถานการณ์รอบประสาทพระวิหาร และตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในปี 2551 กับปัจจุบันแตกต่างกันหรือไม่

คือช่วงที่ผมดูแลพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและพื้นที่ภาคอีสาน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของการอพยพหนีภัยสงครามเข้ามา มีการสู้รบกันชาวกัมพูชาก็หนีเข้ามา เราก็เข้าไปดูว่าพื้นที่ที่เขาเข้ามาอยู่ตรงไหน ถ้าอยู่ในเขตไทยเราก็บอกให้เขาออกไป

**ช่วงที่ท่านดูแลพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา อันเนื่องมาจากกรณีที่กัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามาไหม

ช่วงที่ผมดูแลพื้นที่แถบนี้ก็มีการยิงกันประมาณ 3 ครั้งครับ ก็ยิงกันแถวเขาพระวิหารน่ะแหล่ะ ก็มีปี 51 อยู่ 2 ครั้ง ปี 52 อีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงจะปะทะกัน ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็พยายามไม่ให้สถานการณ์บานปลาย คือเหตุการณ์ที่เขมรรุกเข้ามามันก็มีอยู่เรื่อยๆ อย่างในปี 2541 ซึ่งผมเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีก็มีชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งศูนย์พักพิงแถวช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ พอ 2542 เราก็ปิดศูนย์ โดยเราเข้าไปเจรจาพูดคุยกับเขาว่าเหตุการณ์สู้รบในประเทศคุณสงบแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้เดินทางกลับประเทศ เขาก็กลับ ในพื้นที่ที่ผมดูแลนี่เขากลับออกไปหมดนะ โดยเราก็ประสานกับผู้นำกัมพูชา ประสานกับทาง UNHCR (สำนักงานผู้ว่าการใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ว่ามีความพร้อมในการเดินทางกลับไปหรือไม่ ตอนนั้นชาวบ้านบางส่วนก็ขอเดินเท้ากลับออกไปทางช่องสะงำ บางส่วนก็ขอรถเดินทางกลับไปทางด้านอรัญประเทศ เจ้าหน้าที่ UNHCR เป็นคนดูแล ส่วนฝ่ายทหารไทยก็คอยอำนวยความสะดวกให้

**โดยส่วนตัว คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการสูญเสีย แต่เราก็ยังสามารถรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ได้

ก็อยู่ที่ผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่แหล่ะครับ ผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ ผู้ที่มีหน้าที่จะต้องทำอะไร ต้องพยายามคิดกันให้หนัก แล้วก็พยายามที่จะดูแล เพราะการดำเนินการมันมีหลายรูปแบบหลายวิธีการ อยู่ที่ว่าการยึดถือนั้น เราจะยึดถืออะไร ซึ่งปัจจุบันมันมีปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาเพราะเรายึดแผนที่คนละฉบับ ทางไทยก็ต้องยึดแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ตามที่เราเคยใช้

**ดูเหมือนรัฐบาลไทยจะพยายามให้ยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 อย่างนี้มันจะเกิดผลกระทบอะไรตามมา

1ต่อ 50,000 กับ 1 ต่อ 200,000 อัตราส่วนมันก็ไม่ตรงกันแล้ว มันคนละขนาดกันเลย

**หมายความว่าถ้าใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 จะทำให้ไทยเสียดินแดนจำนวนมหาศาล

มันก็ต้องไปดูในรายละเอียด ต้องดูว่าถ้าเอามาทาบกันแล้วมันจะมีจุดตรงไหนบ้างที่ทำให้ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ก็เห็นบรรดานักวิชาการซึ่งให้สัมภาษณ์ทางทีวีเขาก็มีข้อมูลให้ดูอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น