นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมที่จะเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาคำขอรับจัดสรรงบประมาณงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงินรวมในเบื้องต้นจำนวน 237,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน128,084 ล้านบาท หรือคิดเป็น 117 % ของวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 109,070 ล้านบาท
โดยวงเงิน 237,155 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการจำนวน 161,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน81,151 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % จากปี 2554 ,รัฐวิสาหกิจจำนวน 75,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 46,932 ล้านบาท หรือคิดเป็น 163 % จากปี 2554 โดยหน่วยงานที่ของบมากที่สุดคือ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท วงเงินรวมกันประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกรมทางหลวงมีโครงการใหม่ที่ต้องดำเนินการกว่า 37 โครงการ วงเงินประมาณ 3,700 ล้านบาท
“วงเงินที่ขอมาถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2554 แต่เราจะเสนอไปก่อนในเบื้องต้นให้สำนักงบประมาณพิจารณา จากนั้นจึงมาหารือและเจรจากันอีกครั้งว่าจะปรับลดอย่างไร แต่ทั้งนี้เรายังสั่งให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปปรับวงเงินการของบประมาณลงด้วย เพื่อจัดเป็นแผนอีกหนึ่งแผน หากสำนักงบประมาณปรับลดวงเงิน โดยให้แต่ละหน่วยงานไปดูว่าแต่ละโครงการที่ขอมามียุทธศาสตร์และผลผลิตอย่างไรบ้าง ซึ่งหากไม่มีความจำเป็นก็ต้องปรับลดลงมา”นายสุพจน์ กล่าว
โดยวงเงิน 237,155 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการจำนวน 161,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน81,151 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % จากปี 2554 ,รัฐวิสาหกิจจำนวน 75,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 46,932 ล้านบาท หรือคิดเป็น 163 % จากปี 2554 โดยหน่วยงานที่ของบมากที่สุดคือ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท วงเงินรวมกันประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกรมทางหลวงมีโครงการใหม่ที่ต้องดำเนินการกว่า 37 โครงการ วงเงินประมาณ 3,700 ล้านบาท
“วงเงินที่ขอมาถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2554 แต่เราจะเสนอไปก่อนในเบื้องต้นให้สำนักงบประมาณพิจารณา จากนั้นจึงมาหารือและเจรจากันอีกครั้งว่าจะปรับลดอย่างไร แต่ทั้งนี้เรายังสั่งให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปปรับวงเงินการของบประมาณลงด้วย เพื่อจัดเป็นแผนอีกหนึ่งแผน หากสำนักงบประมาณปรับลดวงเงิน โดยให้แต่ละหน่วยงานไปดูว่าแต่ละโครงการที่ขอมามียุทธศาสตร์และผลผลิตอย่างไรบ้าง ซึ่งหากไม่มีความจำเป็นก็ต้องปรับลดลงมา”นายสุพจน์ กล่าว