รอยเตอร์/เอเอฟพี-ประธานาธิบดี ดมิตรี เมดเวเดฟ ของรัสเซียแถลงเมื่อวานนี้ ยอมรับมาตรการรักษาความปลอดภัยอันมีช่องโหว่ได้นำไปสู่การก่อวินาศกรรมสังหารหมู่กลางกรุงมอสโกเมื่อช่วงกลางดึกวันจันทร์ หลังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียจนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 รายและบาดเจ็บอีกกว่าร้อยคน
ทั้งนี้ สันนิษฐานในเบื้องต้นว่ามือบึ้มน่าจะเป็นผู้หญิง ซึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในคอเคซัสเหนือ นับเป็นการท้าทายรัฐบาลเครมลิน ซึ่งพยายามอย่างหนักที่จะกวาดล้างกลุ่มก่อความไม่สงบและจัดการกับปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะ
มือระเบิดฆ่าตัวตายรายนี้ ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มมุสลิมติดอาวุธได้จุดชนวนบึ้มโจมตีท่าอากาศยานนานาชาติโดโมเดโดโว ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก ซึ่งเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้คนใช้บริการคับคั่งมากที่สุดของรัสเซีย เมื่อเวลา 16.32 น. ของวันจันทร์ (24 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 20.32 น.ตามเวลาประเทศไทย) ทั้งนี้ จากคำแถลงของคณะกรรมการสอบสวนของรัสเซีย
เหตุระเบิดคราวนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 35 ราย โดยสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานว่า ในจำนวนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้เป็นชาวอังกฤษหนึ่งคนและชาวต่างชาติอื่นๆ อีกหลายคน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขแดนหมีขาว ก็แถลงว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 130 ราย ซึ่งในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 20 ราย
ขณะที่โฆษกสนามบิน เยเลนา กาลาโนวา แถลงว่า จุดที่คนร้ายลงมือก่อเหตุ ก็คือ บริเวณส่วนพื้นที่ที่ผู้โดยสารพบปะกับญาติมิตรหลังผ่านด่านศุลกากร ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนสามารถเดินผ่านเข้าออกได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกตรวจค้น
ภาพข่าวทางโทรทัศน์เผยให้เห็นคลิปซึ่งถ่ายสภาพความโกลาหลภายในอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานโดโมเดโดโวหลังถูกโจมตีไม่นาน โดยที่เห็นควันหนาทึบลอยโขมง และพบศพนอนเกลื่อนกลาด ขณะที่ผู้คนทั้งที่ได้รับบาดเจ็บและที่ไม่ได้รับบาดเจ็บต่างกรีดร้องและวิ่งหาทางออกกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
หลังเกิดเหตุไม่นาน สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ รายงานว่า ทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนของรัสเซียได้พบศีรษะของศพเพศชายร่างหนึ่งซึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายชาวอาหรับในที่เกิดเหตุ โดยแรกเริ่มเจ้าหน้าที่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นของมือระเบิดรายนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (25ม.ค.) อินเตอร์แฟกซ์ ระบุเพิ่มเติมว่า คนร้ายที่ก่อเหตุอาจจะเป็นผู้หญิง ซึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมในคอเคซัสเหนือ
เช่นเดียวกับสำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี ของทางการรัสเซีย และหนังสือพิมพ์คอมเมอร์แซนต์ เดลี ซึ่งรายงานในฉบับวานนี้ (25ม.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าวที่ได้รับมาระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของรัสเซีย ปักใจเชื่อว่า เหตุระเบิดพลีชีพคราวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มมุสลิมติดอาวุธในแคว้นคอเคซัสเหนือ ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีในลักษณะเดียวกันนี้จนทำให้อาคารของสโมสรกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงมอสโกพังพินาศเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งคราวนั้นผู้หญิงคนหนึ่งจากคอเคซัสเหนือได้ระเบิดตนเองอย่างไม่ตั้งใจจากความไม่ระมัดระวัง
“พวกผู้นำกลุ่มติดอาวุธได้ส่งผู้หญิงหลายคนไปทำการโจมตีสถานที่ต่างๆ ในช่วงค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่” รายงานระบุ “ทว่า หนึ่งในกลุ่มพวกเธอจุดชนวนระเบิดก่อนถึงเวลา”
ทั้งนี้ รายงานระบุอีกว่า ผู้หญิงซึ่งก่อเหตุระทึกขวัญเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. เป็นภรรยาของชายผู้หนึ่งซึ่งเวลานี้ยังถูกจองจำอยู่ในคุกด้วยข้อหาเป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว
ส่วนสำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า “เหตุระเบิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในชั่วขณะที่หญิงสาวต้องสงสัยคนหนึ่งเปิดกระเป๋าของเธอ”
“คนร้ายหญิงผู้นี้มากับชายคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอขณะลงมือ จนกระทั่งแรงระเบิดได้ทำให้ศีรษะของชายผู้นี้ขาดกระเด็นหลุดออกจากบ่า”
ด้านประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ ออกมาแถลงประณามการโจมตีคราวนี้อย่างรุนแรง พร้อมกับกล่าวตำหนิมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในท่าอากาศยานดังกล่าว และบอกด้วยว่า คณะผู้บริหารของท่าอากาศยานโดโมเดโดโวควรออกมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนจนเป็นเหตุให้คนร้ายลงมือได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ เขายังระบุอีกว่า รัสเซียจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในระบบรักษาความปลอดภัยของทุกสนามบินและศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ
“จากจุดที่เกิดการระเบิดและหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ทำให้เราเห็นว่านี่เป็นการก่อวินาศกรรมที่วางแผนกันมาอย่างดีเพื่อหมายจะเข่นฆ่าผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” เมดเวเดฟกล่าว
“สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่าระบบการรักษาความปลอดภัยมีช่องโหว่อย่างชัดเจน”
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนซึ่งตัดสินใจก่อเหตุ ณ ที่นั้น รวมทั้งระบบการบริหารจัดการของตัวสนามบินเอง ได้ให้คำตอบกับทุกๆ คำถาม นี่เป็นการก่อการร้าย นี่เป็นความเศร้าโศก และนี่เป็นโศกนาฏกรรม” เมดเวเดฟ บอก ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ เมดเวเดฟได้ประกาศเลื่อนการไปร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในกลางสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม โฆษกสนามบิน ให้สัมภาษณ์อินเตอร์แฟกซ์ ระบุว่า ทางท่าอากาศยานได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนของระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดและถูกต้อง ด้วยเหตุนี้โดโมเดโดโวจึงไม่ควรถูกตำหนิหรือต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ
อนึ่ง ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในรัสเซียกำลังเป็นสิ่งที่น่าวิตกและเป็นเป้าสนใจของนานาชาติตลอดช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะเมื่อรัสเซียกำลังจะเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2014 ที่เมืองโซชิ เมืองชายขอบของแคว้นคอเคซัส ซึ่งถูกกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่มกล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน นอกจากนี้ รัสเซียยังมีงานใหญ่ในการเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกปี 2018 รออยู่อีกด้วย
ทางด้านสนามบินสุวรรณภูมิ ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ได้สั่งการเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยเพิ่มมาตรการเข้มงวด ทั้งภายนอก และภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลี่ยงอันตรายต่อผู้โดยสาร และสนามบินขึ้น โดยขณะนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสนามบินอยู่ที่ระดับ 2 ส่วนจะมีการเพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับที่ 3 หรือเพิ่มกำลังเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยหรือไม่ จะต้องพิจารณาความเหมาะสมของเหตุการณ์ โดยการวิเคราะห์ผ่านข่าวเชิงลึกก่อนดำเนินการ หากพิจารณาแล้วมีเหตุผลจำเป็นก็สามารถดำเนินการได้ทันที
ทั้งนี้ สันนิษฐานในเบื้องต้นว่ามือบึ้มน่าจะเป็นผู้หญิง ซึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในคอเคซัสเหนือ นับเป็นการท้าทายรัฐบาลเครมลิน ซึ่งพยายามอย่างหนักที่จะกวาดล้างกลุ่มก่อความไม่สงบและจัดการกับปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะ
มือระเบิดฆ่าตัวตายรายนี้ ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มมุสลิมติดอาวุธได้จุดชนวนบึ้มโจมตีท่าอากาศยานนานาชาติโดโมเดโดโว ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก ซึ่งเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้คนใช้บริการคับคั่งมากที่สุดของรัสเซีย เมื่อเวลา 16.32 น. ของวันจันทร์ (24 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 20.32 น.ตามเวลาประเทศไทย) ทั้งนี้ จากคำแถลงของคณะกรรมการสอบสวนของรัสเซีย
เหตุระเบิดคราวนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 35 ราย โดยสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานว่า ในจำนวนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้เป็นชาวอังกฤษหนึ่งคนและชาวต่างชาติอื่นๆ อีกหลายคน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขแดนหมีขาว ก็แถลงว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 130 ราย ซึ่งในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 20 ราย
ขณะที่โฆษกสนามบิน เยเลนา กาลาโนวา แถลงว่า จุดที่คนร้ายลงมือก่อเหตุ ก็คือ บริเวณส่วนพื้นที่ที่ผู้โดยสารพบปะกับญาติมิตรหลังผ่านด่านศุลกากร ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนสามารถเดินผ่านเข้าออกได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกตรวจค้น
ภาพข่าวทางโทรทัศน์เผยให้เห็นคลิปซึ่งถ่ายสภาพความโกลาหลภายในอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานโดโมเดโดโวหลังถูกโจมตีไม่นาน โดยที่เห็นควันหนาทึบลอยโขมง และพบศพนอนเกลื่อนกลาด ขณะที่ผู้คนทั้งที่ได้รับบาดเจ็บและที่ไม่ได้รับบาดเจ็บต่างกรีดร้องและวิ่งหาทางออกกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
หลังเกิดเหตุไม่นาน สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ รายงานว่า ทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนของรัสเซียได้พบศีรษะของศพเพศชายร่างหนึ่งซึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายชาวอาหรับในที่เกิดเหตุ โดยแรกเริ่มเจ้าหน้าที่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นของมือระเบิดรายนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (25ม.ค.) อินเตอร์แฟกซ์ ระบุเพิ่มเติมว่า คนร้ายที่ก่อเหตุอาจจะเป็นผู้หญิง ซึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมในคอเคซัสเหนือ
เช่นเดียวกับสำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี ของทางการรัสเซีย และหนังสือพิมพ์คอมเมอร์แซนต์ เดลี ซึ่งรายงานในฉบับวานนี้ (25ม.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าวที่ได้รับมาระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของรัสเซีย ปักใจเชื่อว่า เหตุระเบิดพลีชีพคราวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มมุสลิมติดอาวุธในแคว้นคอเคซัสเหนือ ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีในลักษณะเดียวกันนี้จนทำให้อาคารของสโมสรกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงมอสโกพังพินาศเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งคราวนั้นผู้หญิงคนหนึ่งจากคอเคซัสเหนือได้ระเบิดตนเองอย่างไม่ตั้งใจจากความไม่ระมัดระวัง
“พวกผู้นำกลุ่มติดอาวุธได้ส่งผู้หญิงหลายคนไปทำการโจมตีสถานที่ต่างๆ ในช่วงค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่” รายงานระบุ “ทว่า หนึ่งในกลุ่มพวกเธอจุดชนวนระเบิดก่อนถึงเวลา”
ทั้งนี้ รายงานระบุอีกว่า ผู้หญิงซึ่งก่อเหตุระทึกขวัญเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. เป็นภรรยาของชายผู้หนึ่งซึ่งเวลานี้ยังถูกจองจำอยู่ในคุกด้วยข้อหาเป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว
ส่วนสำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสตี รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า “เหตุระเบิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในชั่วขณะที่หญิงสาวต้องสงสัยคนหนึ่งเปิดกระเป๋าของเธอ”
“คนร้ายหญิงผู้นี้มากับชายคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอขณะลงมือ จนกระทั่งแรงระเบิดได้ทำให้ศีรษะของชายผู้นี้ขาดกระเด็นหลุดออกจากบ่า”
ด้านประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ ออกมาแถลงประณามการโจมตีคราวนี้อย่างรุนแรง พร้อมกับกล่าวตำหนิมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในท่าอากาศยานดังกล่าว และบอกด้วยว่า คณะผู้บริหารของท่าอากาศยานโดโมเดโดโวควรออกมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนจนเป็นเหตุให้คนร้ายลงมือได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ เขายังระบุอีกว่า รัสเซียจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในระบบรักษาความปลอดภัยของทุกสนามบินและศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ
“จากจุดที่เกิดการระเบิดและหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ทำให้เราเห็นว่านี่เป็นการก่อวินาศกรรมที่วางแผนกันมาอย่างดีเพื่อหมายจะเข่นฆ่าผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” เมดเวเดฟกล่าว
“สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่าระบบการรักษาความปลอดภัยมีช่องโหว่อย่างชัดเจน”
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนซึ่งตัดสินใจก่อเหตุ ณ ที่นั้น รวมทั้งระบบการบริหารจัดการของตัวสนามบินเอง ได้ให้คำตอบกับทุกๆ คำถาม นี่เป็นการก่อการร้าย นี่เป็นความเศร้าโศก และนี่เป็นโศกนาฏกรรม” เมดเวเดฟ บอก ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ เมดเวเดฟได้ประกาศเลื่อนการไปร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในกลางสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม โฆษกสนามบิน ให้สัมภาษณ์อินเตอร์แฟกซ์ ระบุว่า ทางท่าอากาศยานได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนของระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดและถูกต้อง ด้วยเหตุนี้โดโมเดโดโวจึงไม่ควรถูกตำหนิหรือต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ
อนึ่ง ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในรัสเซียกำลังเป็นสิ่งที่น่าวิตกและเป็นเป้าสนใจของนานาชาติตลอดช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะเมื่อรัสเซียกำลังจะเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2014 ที่เมืองโซชิ เมืองชายขอบของแคว้นคอเคซัส ซึ่งถูกกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่มกล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน นอกจากนี้ รัสเซียยังมีงานใหญ่ในการเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกปี 2018 รออยู่อีกด้วย
ทางด้านสนามบินสุวรรณภูมิ ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ได้สั่งการเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยเพิ่มมาตรการเข้มงวด ทั้งภายนอก และภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลี่ยงอันตรายต่อผู้โดยสาร และสนามบินขึ้น โดยขณะนี้มาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสนามบินอยู่ที่ระดับ 2 ส่วนจะมีการเพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับที่ 3 หรือเพิ่มกำลังเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยหรือไม่ จะต้องพิจารณาความเหมาะสมของเหตุการณ์ โดยการวิเคราะห์ผ่านข่าวเชิงลึกก่อนดำเนินการ หากพิจารณาแล้วมีเหตุผลจำเป็นก็สามารถดำเนินการได้ทันที