ASTVผู้จัดการรายวัน - “ยาเม็ดทำแท้ง”ระบาดทางเวปไซด์เถื่อน เผยห้างดังก็มีวางขาย ขายเม็ดละ 1,200 บาท ชุดละ 5,000 บาท ชี้ยาเถื่อนยังไม่อนุญาตในไทย อย.แฉรพ.เอกชน-คลินิกตัวดี ลักลอบนำเข้ามาใช้อื้อ เตรียมเสนอกรรมการยาพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนหรือไม่ภายใน 3 เดือน หวั่นคุมยากหมอนำไปใช้ไม่ถูกทาง ปัญหารีดมารหัวขนทำแท้งมากขึ้น
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยถึงการลักลอบขายยาเม็ดทำแท้ง ที่ชื่อว่า RU-486 ผ่านทางเว็บไซต์ และจากการขยายผลการจับกุมคลินิกทำแท้งหลายแห่งของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พบว่า มีการใช้ยาดังกล่าวร่วมกับการทำแท้งเถื่อนด้วย ว่า ยาดังกล่าวเป็นยาที่ใช้ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกามานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ แต่ได้มีการเรียกร้องจากฝ่ายการแพทย์ให้มีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้ แต่ล่าสุดพบว่ามีการลักลอบขายยานี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์รวมทั้งมีการลักลอบนำเข้ามาใช้ในรพ.เอกชนและคลินิกหลายแห่ง โดยพบว่าเป็นยานำเข้าจากอินเดีย มีชื่อทางยาว่า Mifepristone 200mg มีกลไกการออกฤทธิ์ของยา คือ เป็นสารแอนตี้โปรเจสเตอโรน ( anti progesterone) มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารโปรเจสเตอโรน( progesterone) ซึ่งมีผลทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง ซึ่งยาตัวนี้ในต่างประเทศ องค์การอนามัยโลกรับรองให้ใช้ร่วมกับ ยา ไซโตเทค (cytotec) ชนิดสอดช่องคลอด เพื่อทำให้ยุติการตั้งครรภ์โดยสมบูรณ์ในคนที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะทำแท้งเท่านั้น
นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า อย.ได้ทำการล่อซื้อเพื่อจับกุมหลายครั้ง ล่าสุด อย.ได้เข้าล่อซื้อและเตรียมจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนำยา RU-486 มาจำหน่ายที่ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีการจับกุม โดยขับรถพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่อย.จนได้รับความเสียหาย และหลังจากนั้น ได้ล่อซื้อและจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขายยาชนิดเดียวกัน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จับกุมผู้ต้องหาเป็นหญิงแม่ลูกอ่อนอายุ 28 ปี อ้างว่ารับยามาจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมาจำหน่ายในราคาชุดละประมาณ 5,000 บาท ซึ่งอย.กำลังเตรียมการที่จะขยายผลการจับกุมไปยังต้นตอผู้นำเข้ายานี้ เนื่องจากถือว่าเป็นยาเถื่อนยังไม่มีการขึ้นทะเบียนในเมืองไทย ใครนำมาจำหน่ายถือว่ามีความผิด
“ขณะนี้อย.กำลังพิจารณาที่จะขึ้นทะเบียนการใช้อย่างรัดกุม ไม่ใช่แค่อนุญาตให้ใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น เพราะที่ผ่านมา แม้ว่าแพทยสภาจะออกระเบียบให้มีการรับรองการทำแท้ง แต่ก็เป็นการวินิจฉัยเพียงแพทย์ไม่กี่คนซึ่งตรงนี้ต้องทำให้รัดกุมมากที่สุด และแม้จะเป็นการอนุญาตให้จำหน่ายในสถานพยาบาล ก็ต้องมาดูอีกว่า ในสถานพยาบาลถ้าไม่รัดกุม ก็อาจจะมีการนำออกไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง “นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกำหนดที่จะมีการพิจาณาอนุญาตให้ใช้ จะมีการทำเรื่องขอเบิกยา เช่น ให้เบิกยากับทางอย.เมื่อมีกรณีของคนไข้รายงานเข้ามาว่ามีความจำเป็นต้องใช้เท่านั้น และให้มีการรายงานผลหลังการใช้ยาเพื่อติดตามคนไข้ในภายหลัง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ เพราะถ้าควบคุมไม่ดีจะมีการนำยาไปใช้ทำแท้งโดยไม่ถูกต้องได้ และว่า ขณะนี้ได้ให้กองควบคุมยาและคณะอนุกรรมการยาตามพ.ร.บ.ยาเป็นผู้ศึกษาเรื่องนี้ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการยา คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จะรู้ผลว่า ควรหรือไม่ควรให้มีการขึ้นทะเบียนยาชนิดนี้ในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ผ่านมา จำนวนคนที่เข้าข่ายทำแท้งอย่างถูกต้องที่มีการรายงานมีเพียงไม่กี่ร้อยราย ก็มีการพูดกันถึงความจำเป็นว่า จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องมีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ในเมืองไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ยาชนิดเดียวกันนี้มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ในราคาเม็ดละ 1,200 บาท ในหนึ่งชุดจะมี 3 เม็ด และถ้ากินร่วมกับยาสอดด้วยจะจำหน่ายในราคาชุดละประมาณ 5,000 บาท โดยถ้าเป็นยาจากประเทศฝรั่งเศสจะใช้ชื่อว่า RU-486 แต่ถ้าเป็นยาจากสหรัฐอเมริการ จะใช้ชื่อว่า Mifeprex แต่ถ้าเป็นยาจากอินเดียจะใช้ชื่อว่า Mifepriston ซึ่งมีข้อบ่งใช้ว่า เป็นยาที่ใช้ได้ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์อ่อน ๆ ต้องการจะกำจัดตัวอ่อนในครรภ์ โดยยา Mifepristone นั้นมีส่วนประกอบของ Steroid ซึ่งจะไปรบกวนไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ไม่ให้ไปเกาะติดกับผนังมดลูก ทำให้เกิดการแท้งในที่สุด.
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยถึงการลักลอบขายยาเม็ดทำแท้ง ที่ชื่อว่า RU-486 ผ่านทางเว็บไซต์ และจากการขยายผลการจับกุมคลินิกทำแท้งหลายแห่งของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พบว่า มีการใช้ยาดังกล่าวร่วมกับการทำแท้งเถื่อนด้วย ว่า ยาดังกล่าวเป็นยาที่ใช้ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกามานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ แต่ได้มีการเรียกร้องจากฝ่ายการแพทย์ให้มีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้ แต่ล่าสุดพบว่ามีการลักลอบขายยานี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์รวมทั้งมีการลักลอบนำเข้ามาใช้ในรพ.เอกชนและคลินิกหลายแห่ง โดยพบว่าเป็นยานำเข้าจากอินเดีย มีชื่อทางยาว่า Mifepristone 200mg มีกลไกการออกฤทธิ์ของยา คือ เป็นสารแอนตี้โปรเจสเตอโรน ( anti progesterone) มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารโปรเจสเตอโรน( progesterone) ซึ่งมีผลทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง ซึ่งยาตัวนี้ในต่างประเทศ องค์การอนามัยโลกรับรองให้ใช้ร่วมกับ ยา ไซโตเทค (cytotec) ชนิดสอดช่องคลอด เพื่อทำให้ยุติการตั้งครรภ์โดยสมบูรณ์ในคนที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะทำแท้งเท่านั้น
นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า อย.ได้ทำการล่อซื้อเพื่อจับกุมหลายครั้ง ล่าสุด อย.ได้เข้าล่อซื้อและเตรียมจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนำยา RU-486 มาจำหน่ายที่ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีการจับกุม โดยขับรถพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่อย.จนได้รับความเสียหาย และหลังจากนั้น ได้ล่อซื้อและจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขายยาชนิดเดียวกัน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จับกุมผู้ต้องหาเป็นหญิงแม่ลูกอ่อนอายุ 28 ปี อ้างว่ารับยามาจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมาจำหน่ายในราคาชุดละประมาณ 5,000 บาท ซึ่งอย.กำลังเตรียมการที่จะขยายผลการจับกุมไปยังต้นตอผู้นำเข้ายานี้ เนื่องจากถือว่าเป็นยาเถื่อนยังไม่มีการขึ้นทะเบียนในเมืองไทย ใครนำมาจำหน่ายถือว่ามีความผิด
“ขณะนี้อย.กำลังพิจารณาที่จะขึ้นทะเบียนการใช้อย่างรัดกุม ไม่ใช่แค่อนุญาตให้ใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น เพราะที่ผ่านมา แม้ว่าแพทยสภาจะออกระเบียบให้มีการรับรองการทำแท้ง แต่ก็เป็นการวินิจฉัยเพียงแพทย์ไม่กี่คนซึ่งตรงนี้ต้องทำให้รัดกุมมากที่สุด และแม้จะเป็นการอนุญาตให้จำหน่ายในสถานพยาบาล ก็ต้องมาดูอีกว่า ในสถานพยาบาลถ้าไม่รัดกุม ก็อาจจะมีการนำออกไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง “นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกำหนดที่จะมีการพิจาณาอนุญาตให้ใช้ จะมีการทำเรื่องขอเบิกยา เช่น ให้เบิกยากับทางอย.เมื่อมีกรณีของคนไข้รายงานเข้ามาว่ามีความจำเป็นต้องใช้เท่านั้น และให้มีการรายงานผลหลังการใช้ยาเพื่อติดตามคนไข้ในภายหลัง รวมทั้งประเด็นอื่นๆ เพราะถ้าควบคุมไม่ดีจะมีการนำยาไปใช้ทำแท้งโดยไม่ถูกต้องได้ และว่า ขณะนี้ได้ให้กองควบคุมยาและคณะอนุกรรมการยาตามพ.ร.บ.ยาเป็นผู้ศึกษาเรื่องนี้ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการยา คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จะรู้ผลว่า ควรหรือไม่ควรให้มีการขึ้นทะเบียนยาชนิดนี้ในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ผ่านมา จำนวนคนที่เข้าข่ายทำแท้งอย่างถูกต้องที่มีการรายงานมีเพียงไม่กี่ร้อยราย ก็มีการพูดกันถึงความจำเป็นว่า จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องมีการอนุญาตให้ใช้ยานี้ในเมืองไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ยาชนิดเดียวกันนี้มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ในราคาเม็ดละ 1,200 บาท ในหนึ่งชุดจะมี 3 เม็ด และถ้ากินร่วมกับยาสอดด้วยจะจำหน่ายในราคาชุดละประมาณ 5,000 บาท โดยถ้าเป็นยาจากประเทศฝรั่งเศสจะใช้ชื่อว่า RU-486 แต่ถ้าเป็นยาจากสหรัฐอเมริการ จะใช้ชื่อว่า Mifeprex แต่ถ้าเป็นยาจากอินเดียจะใช้ชื่อว่า Mifepriston ซึ่งมีข้อบ่งใช้ว่า เป็นยาที่ใช้ได้ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์อ่อน ๆ ต้องการจะกำจัดตัวอ่อนในครรภ์ โดยยา Mifepristone นั้นมีส่วนประกอบของ Steroid ซึ่งจะไปรบกวนไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ไม่ให้ไปเกาะติดกับผนังมดลูก ทำให้เกิดการแท้งในที่สุด.