ASTVผู้จัดการรายวัน-สาลี่คัลเลอร์ เล็ง เข้าเทรดปลายก.พ. หวังป็นหุ้นไอพีโอตัวแรกที่เข้าจดทะเบียนปีนี้เพื่อสร้างความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้น ด้าน "น้ำตาลครบุรี" ยื่นไฟลิ่งก.ล.ตขายหุ้นไอพีโอ 176 ล้านหุ้น
นายขวัญชัย ณัฏฐ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่คัลเลอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกผสมสีและสารเติมแต่งแบบเข้มข้น เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยหวังจะเป็นบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียน เพื่อให้นักลงทุนสนใจในการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท เนื่องจากเป็นหุ้นไอพีโอตัวแรก ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยบิรษัทจะเสนอขายหุ้นครั้งนี้จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทมีแผนที่จะย้ายโรงงานจากเดิมที่เทพารักษ์ไปยังนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนโดยรวมในระยะ 2 ปีประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะทยอยลงทุนในในปีนี้ประมาณ 60-80 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักร ซึ่งการลงทุนขั้นแรกประเมินว่าจะช่วยกำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้น 30% จากกำลังการผลิตในที่มีในปัจจุบัน
สำหรับในปี 54 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากปี 53 ที่คาดว่ารายได้ไม่น่าจะเพิ่มมากกว่าปี 52 ที่อยู่ราว 606 ล้านบาท ส่วนอัตราการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิ( Net Profit Margin ) ก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ในช่วง 9 เดือนอยู่ที่ราว 2% จากกำลังการผลิตของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังอยู่เท่าเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจก่อสร้างเป็นพิเศษ เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเฉลี่ยราว 40% โดยหวังว่าจะ
สามารถพิ่มสัดส่วนลูกค้าดังกล่าวขึ้นมาเป็นประมาณ 35% ในปีนี้จากเดิมที่อยู่ราว 25%
ด้านบริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 176 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 150 ล้านหุ้น และอีก 26 ล้านหุ้นนั้นเป็นหุ้นเดิมที่ผู้ถือหุ้น 3 รายจะนำหุ้นออกมาขายในครั้งนี้ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเสนอขายครั้งนี้บริษัทจะนำไป ใช้ขยายธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้าจากกากอ้อย ใช้ในการขยายกำกลังการผลิตน้ำตามและลงทุนในการพัฒนาอุปกรณ์จักรกลเกษตร และพัฒนาพันธุ์อ้อย และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนเหมุนเวียน โดยผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมาบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นต่เนื่องจาก 2,975.7 ล้านบาท ในปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 3,808.8 ล้านบาท ในปี 52 และเพิ่มเป็น 4,774.2 ล้านบาทในปี 53 และในปี51มีกำไรสุทธิ 59.8 ล้านบาท เพิ่มเป็น 145.7 ล้านบาทในปี 52 และเพิ่มเป็น 167.9 ล้านบาท ในปี 53 เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นและบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขายของบริษัททั้งในเรื่องประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่ายและการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท
นายขวัญชัย ณัฏฐ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่คัลเลอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกผสมสีและสารเติมแต่งแบบเข้มข้น เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยหวังจะเป็นบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียน เพื่อให้นักลงทุนสนใจในการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท เนื่องจากเป็นหุ้นไอพีโอตัวแรก ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยบิรษัทจะเสนอขายหุ้นครั้งนี้จำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทมีแผนที่จะย้ายโรงงานจากเดิมที่เทพารักษ์ไปยังนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนโดยรวมในระยะ 2 ปีประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะทยอยลงทุนในในปีนี้ประมาณ 60-80 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักร ซึ่งการลงทุนขั้นแรกประเมินว่าจะช่วยกำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้น 30% จากกำลังการผลิตในที่มีในปัจจุบัน
สำหรับในปี 54 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากปี 53 ที่คาดว่ารายได้ไม่น่าจะเพิ่มมากกว่าปี 52 ที่อยู่ราว 606 ล้านบาท ส่วนอัตราการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิ( Net Profit Margin ) ก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ในช่วง 9 เดือนอยู่ที่ราว 2% จากกำลังการผลิตของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังอยู่เท่าเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจก่อสร้างเป็นพิเศษ เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเฉลี่ยราว 40% โดยหวังว่าจะ
สามารถพิ่มสัดส่วนลูกค้าดังกล่าวขึ้นมาเป็นประมาณ 35% ในปีนี้จากเดิมที่อยู่ราว 25%
ด้านบริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 176 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นหุ้นที่ออกใหม่จำนวน 150 ล้านหุ้น และอีก 26 ล้านหุ้นนั้นเป็นหุ้นเดิมที่ผู้ถือหุ้น 3 รายจะนำหุ้นออกมาขายในครั้งนี้ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเสนอขายครั้งนี้บริษัทจะนำไป ใช้ขยายธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้าจากกากอ้อย ใช้ในการขยายกำกลังการผลิตน้ำตามและลงทุนในการพัฒนาอุปกรณ์จักรกลเกษตร และพัฒนาพันธุ์อ้อย และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนเหมุนเวียน โดยผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมาบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นต่เนื่องจาก 2,975.7 ล้านบาท ในปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 3,808.8 ล้านบาท ในปี 52 และเพิ่มเป็น 4,774.2 ล้านบาทในปี 53 และในปี51มีกำไรสุทธิ 59.8 ล้านบาท เพิ่มเป็น 145.7 ล้านบาทในปี 52 และเพิ่มเป็น 167.9 ล้านบาท ในปี 53 เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นและบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขายของบริษัททั้งในเรื่องประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่ายและการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท