นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 93-98 เรื่องระบบเขตเลือกตั้ง ให้มี ส.ส.เขต 400 คน และส.ส.สัดส่วน 100 คน แทน ส.ส.เขต 375 และส.ส.สัดส่วน 125 นั้น ตามมติของพรรคที่ได้พูดคุยกันนั้น สมาชิกของพรรคเพื่อไทยเห็นว่า น่าจะมีการสนับสนุนให้มี ส.ส.เขต 400 คน และส.ส.สัดส่วน 100 คน เพราะว่ามีความเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อหามติของพรรคที่ชัดเจนอีกครั้ง
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศหนุน สูตรส.ส. 400+100 โดยอ้างว่าเป็นหลักการที่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40 ว่า อยากจะถามว่าถ้ามีความบริสุทธิ์ใจ และหนุนรูปแบบการเลือกตั้งสูตรดังกล่าวแล้ว ทำไมจึงไม่ให้ความร่วมมือ หรือทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา พิจารณากฎหมายดังกล่าวใน วาระที่ 1 และทำไมไม่ตั้งคณะกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมการพิจารณาแก้ไขด้วย
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยคงเห็นว่า มีความเห็นต่างกันในหมู่คณะกรรมาธิการ ทางพรรคเพื่อไทยจึงฉวยโอกาสทางการเมือง โดยเอาความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลที่เห็นต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาสนับสนุน เพื่อหวังผลให้เกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะมีความเห็นต่างก็จริง แต่จะไม่เกิดความแตกแยกในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน และเชื่อว่าสามารถที่จะทำความเข้าใจกันได้ ที่ทุกฝ่ายต้องเห็นด้วยในลักษณะพบกันครึ่งทาง นั่นคือการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ ขยายเขตให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นทางออกที่ทุกฝ่ายน่าจะรับได้
ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องรอดูกรรมาธิการ จะยืนยันตามร่างเดิมหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าจะยืนยัน จากนั้นใครไม่เห็นด้วย ก็สงวนความเห็น หรือสงวนคำแปรญัตติไปอภิปรายในสภา ซึ่งสุดท้ายอาจไม่ใช่สูตร 375+125 คน ก็ได้ และสูตร 400+100 คน ก็อาจไม่ผ่านด้วยก็ได้ ซึ่งถ้าไม่ผ่านทั้งคู่ ก็ต้องกลับไปแบบเดิม คือการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 คือ เขตใหญ่เรียงเบอร์ 400 คน + ระบบสัดส่วน 8 กลุ่มจังหวัดรวม 80 คน
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เดิมพรรคมีจุดยืนตามระบบส.ส.ของรัฐธรรมนูญปี 50 แต่ที่พรรคยอมรับร่าง 375+125 คนนั้น เพราะนายกฯ ตั้งกรรมการอิสระขึ้นมา แล้วมีข้อเสนอออกมาพรรคก็ต้องเคารพความเห็น ฉะนั้นความเห็นต่างในขณะนี้ต้องถกกันในชั้นกรรมาธิการก่อน แต่ยอมรับว่า พรรคคงหนักใจ ถ้าจะปรับตัวเลขตามร่าง ให้เปลี่ยนไปอีก ซึ่งคงมีการถกเถียงในพรรคใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะจบ
อย่างไรก็ดี สุดท้าย ถ้าวาระ 2 และ 3 ไม่ผ่านรัฐสภา ก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องยุบสภา เพราะเป็นเรื่องรัฐสภา ซึ่งมีปัจจัย ส.ว. ด้วย
**โพลชี้ แก้รธน.ก่อความขัดแย้ง
สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชนคิดอย่างไรต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีจำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.สัดส่วน โดยพบว่า ส.ส.เขต 400 ส.ส.สัดส่วน 80 ที่ใช้ในปัจจุบัน ร้อยละ 40.17 ข้อดี เป็นการเลือกแบบประชาธิปไตย 1 คน 1 เสียง ร้อยละ 38.02 ข้อเสีย คือ ส.ส.สัดส่วนน้อยไป ส่งผลให้การทำงานยากขึ้น ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.สัดส่วน 125 คน (ข้อเสนอให้ปรับแก้) ร้อยละ 35.92 ข้อดี พรรคใหญ่ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พรรคเข้มแข็งร้อยละ 42.74 ข้อเสีย คือ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ
ส่วน ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน 100 คน (รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540) ร้อยละ 39.58 ข้อดี จำนวน ส.ส.มีความเหมาะสมกับเขตเลือกตั้ง ร้อยละ 40.07 ข้อเสีย พรรคใหญ่ได้เปรียบ มีอำนาจมาก ขาดการตรวจสอบ
ขณะที่ร้อยละ 45.37 ประชาชนเห็นด้วยกับสูตร ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน 100 คน มากที่สุด ร้อยละ 53.04 เชื่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 92-98 จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เพราะเกิดความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ร้อยละ 74.27 เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะไม่ช่วยลดปัญหาการซื้อสิทธิ ขายเสียงได้ เพราะการเมืองไทยกับการซื้อเสียงมีคู่กันมานาน และร้อยละ 36.05 ประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์เลยจากการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อหามติของพรรคที่ชัดเจนอีกครั้ง
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศหนุน สูตรส.ส. 400+100 โดยอ้างว่าเป็นหลักการที่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40 ว่า อยากจะถามว่าถ้ามีความบริสุทธิ์ใจ และหนุนรูปแบบการเลือกตั้งสูตรดังกล่าวแล้ว ทำไมจึงไม่ให้ความร่วมมือ หรือทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา พิจารณากฎหมายดังกล่าวใน วาระที่ 1 และทำไมไม่ตั้งคณะกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมการพิจารณาแก้ไขด้วย
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยคงเห็นว่า มีความเห็นต่างกันในหมู่คณะกรรมาธิการ ทางพรรคเพื่อไทยจึงฉวยโอกาสทางการเมือง โดยเอาความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลที่เห็นต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาสนับสนุน เพื่อหวังผลให้เกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะมีความเห็นต่างก็จริง แต่จะไม่เกิดความแตกแยกในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน และเชื่อว่าสามารถที่จะทำความเข้าใจกันได้ ที่ทุกฝ่ายต้องเห็นด้วยในลักษณะพบกันครึ่งทาง นั่นคือการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ ขยายเขตให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นทางออกที่ทุกฝ่ายน่าจะรับได้
ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องรอดูกรรมาธิการ จะยืนยันตามร่างเดิมหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าจะยืนยัน จากนั้นใครไม่เห็นด้วย ก็สงวนความเห็น หรือสงวนคำแปรญัตติไปอภิปรายในสภา ซึ่งสุดท้ายอาจไม่ใช่สูตร 375+125 คน ก็ได้ และสูตร 400+100 คน ก็อาจไม่ผ่านด้วยก็ได้ ซึ่งถ้าไม่ผ่านทั้งคู่ ก็ต้องกลับไปแบบเดิม คือการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 คือ เขตใหญ่เรียงเบอร์ 400 คน + ระบบสัดส่วน 8 กลุ่มจังหวัดรวม 80 คน
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เดิมพรรคมีจุดยืนตามระบบส.ส.ของรัฐธรรมนูญปี 50 แต่ที่พรรคยอมรับร่าง 375+125 คนนั้น เพราะนายกฯ ตั้งกรรมการอิสระขึ้นมา แล้วมีข้อเสนอออกมาพรรคก็ต้องเคารพความเห็น ฉะนั้นความเห็นต่างในขณะนี้ต้องถกกันในชั้นกรรมาธิการก่อน แต่ยอมรับว่า พรรคคงหนักใจ ถ้าจะปรับตัวเลขตามร่าง ให้เปลี่ยนไปอีก ซึ่งคงมีการถกเถียงในพรรคใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะจบ
อย่างไรก็ดี สุดท้าย ถ้าวาระ 2 และ 3 ไม่ผ่านรัฐสภา ก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องยุบสภา เพราะเป็นเรื่องรัฐสภา ซึ่งมีปัจจัย ส.ว. ด้วย
**โพลชี้ แก้รธน.ก่อความขัดแย้ง
สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชนคิดอย่างไรต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีจำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.สัดส่วน โดยพบว่า ส.ส.เขต 400 ส.ส.สัดส่วน 80 ที่ใช้ในปัจจุบัน ร้อยละ 40.17 ข้อดี เป็นการเลือกแบบประชาธิปไตย 1 คน 1 เสียง ร้อยละ 38.02 ข้อเสีย คือ ส.ส.สัดส่วนน้อยไป ส่งผลให้การทำงานยากขึ้น ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.สัดส่วน 125 คน (ข้อเสนอให้ปรับแก้) ร้อยละ 35.92 ข้อดี พรรคใหญ่ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พรรคเข้มแข็งร้อยละ 42.74 ข้อเสีย คือ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ
ส่วน ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน 100 คน (รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540) ร้อยละ 39.58 ข้อดี จำนวน ส.ส.มีความเหมาะสมกับเขตเลือกตั้ง ร้อยละ 40.07 ข้อเสีย พรรคใหญ่ได้เปรียบ มีอำนาจมาก ขาดการตรวจสอบ
ขณะที่ร้อยละ 45.37 ประชาชนเห็นด้วยกับสูตร ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน 100 คน มากที่สุด ร้อยละ 53.04 เชื่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 92-98 จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เพราะเกิดความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ร้อยละ 74.27 เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะไม่ช่วยลดปัญหาการซื้อสิทธิ ขายเสียงได้ เพราะการเมืองไทยกับการซื้อเสียงมีคู่กันมานาน และร้อยละ 36.05 ประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์เลยจากการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้
