ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่า ปัญหากัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทยนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่มาผยองเหิมเกริมอย่างหนักในสมัยรัฐบาล 'ทักษิณ ชินวัตร' ซึ่งผู้นำรัฐบาลตั้งใจเปิดประเทศให้เขมรเข้ามายึดครอง เพื่อแลกกับการเข้าไปทำมาหากินในกัมพูชาของบรรดานักการเมืองและนายทุนพรรค มาถึงสมัยรัฐบาล 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' นายกฯดีกรีออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นความหวังของคนไทยทั้งชาติว่าจะลุกขึ้นประกาศศักดาของคนไทยให้นายกรัฐมนตรีที่จบแค่ชั้นประถมปลาย อย่าง 'สมเด็จฮุน เซน' แห่งกัมพูชา ได้เกรงขามเลิกรุกล้ำแผ่นดินไทย หวังให้นายกฯ ทวงคืนพื้นที่รอบประสาทพระวิหารที่ถูกกัมพูชาเข้ายึดครอง
แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นแต่ท่าทีที่พินอบพิเทาเกรงอกเกรงใจกัมพูชาของพ่อรูปหล่อ เพราะกลัวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทั่งล่าสุดปล่อยให้ทหารเขมรเหิมเกริมถึงขั้นจับ 7 คนไทย ขณะที่เข้าไปตรวจสอบหลักเขตซึ่งอยู่ในผืนแผนดินไทย ในจังหวัดสระแก้ว !!
ทั้งนี้ 'เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้พื้นที่ชายแดนไทยที่ติดกับกัมพูชานั้นถูกเขมรเข้ายึดครองแล้วหลายพื้นที่ ขณะที่รัฐบาลไทยไม่ได้จัดการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปแต่อย่างใด ซึ่งเฉพาะในพื้นที่จังหวัดแก้วมีปัญหาถูกกัมพูชารุกล้ำเข้ามาถึง 6 จุด รวมพื้นที่เกือบ 10,000 ไร่ ได้แก่
1. บริเวณเนิน 48 อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คาบเกี่ยวระหว่างหลักเขตที่ 31 และ 32 มีปัญหาถูกชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามา 142 ไร่
2. บริเวณหลักเขตที่ 35 ถูกกัมพูชารุกล้ำเข้ามา 10 ไร่
3. บริเวณหลักเขตที่ 38 และ 39 ถุกกัมพูชารุกเข้ามาประมาณ 150 ไร่
4. บริเวณหลักเขตที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็นจุดที่ 7 คนไทยถูกทหาร ถูกกัมพูชารุกเข้ามา 87 ไร่
5. หลักเขตที่ 48 และ 49 (ซึ่งเป็นช่วงที่มีถนนศรีเพ็ญ) เป็นจุดที่ถูกกัมพูชารุกเข้ามากที่สุด โดยถูกรุกเข้ามาถึง 8,800 ไร่
6. บริเวณเขาตาง็อก ถูกกัมพูชาบุกรุกเข้ามา 1,875 ไร่ ซึ่งบริเวณดังกล่าวถูกระบุว่ามีแหล่งแร่ทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก
นายเทพมนตรี กล่าวว่าจากรายงานของกองกำลังบูรพา ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออก(รวมถึงจังหวัดสระแก้ว) เกี่ยวกับเหตุการณ์รุกล้ำอธิปไตยและผิดข้อตกลงร่วม (MOU) ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ พบว่าฝ่ายกัมพูชามีการรุกล้ำเข้ามาในจังหวัดสระแก้วของไทยบ่อยครั้ง ทั้งในลักษณะของการเข้ามาทำถนน ปรับถมพื้นที่ ดัดแปลงสภาพแวดล้อม สร้างรั้ว สร้างกำแพง ก่อสร้างท่อระบายน้ำ ก่อสร้างที่พักอาศัยในพื้นที่ซึ่งเป็นของไทย รวมถึงมีราษฎรกัมพูชาเข้ามาปักหลักจับจองพื้นที่ทับที่ทำกินของคนไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจรจาปักปันเขตแดนในอนาคต กองกำลังบูรพาจึงแจ้งให้ทางกัมพูชาหยุดดำเนินการ ซึ่งแม้หลังจากได้รับแจ้งทางกัมพูชาจะหยุดดำเนิน แต่หลังจากนั้นก็ยังเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่าเฉพาะบริเวณจังหวัดสระแก้วไทยถูกเขมรรุกล้ำเข้ามาเกือบ 10,000 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นของไทยแน่นอนเพราะชาวไทยก็มีเอกสารสิทธิ์อยู่ เป็น นส.3ก.บ้าง เป็น ภบท.5 (หลักฐานการเสียภาษี เพื่อทำกินในที่ดิน) บ้าง แต่ชาวบ้านเขาปกป้องตัวเองไม่ได้ บางคนไปร้องเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีใครช่วย ขณะที่ทหารก็ไม่ผลักดันชาวกัมพูชาออกไป และถ้าดูตามเอกสารหลักฐานที่จัดทำโดยกองกำลังบูรพาที่ทำรายงานเสนอแม่ทัพภาคที่ 1 จะเห็นว่าการรุกล้ำเข้ามาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาแถบจังหวัดสระแก้วนั้น ชาวกัมพูชาเพิ่งจะรุกเข้ามาเมื่อเร็วๆ นี้ คือช่วงปี 2550-2551 และปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน
อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ทหารปล่อยให้ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาก็เนื่องจากมี MOU43 (บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543) ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมคุมขัง โดยเมื่อเกิดปัญหาอะไรก็ต้องให้รัฐมาเจรจากัน แต่ทางกัมพูชาเขาไม่ยอมเจรจาพร้อมทั้งเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ทางฝ่ายไทยก็ต้องรอเจบีซี (ร่างบันทึกข้อตกลงคณะกรรมาธิการเขตแดนไทย-กัมพูชา)ไล่
สำหรับเหตุการณ์หลังจากที่ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับตัวไปนั้น นายเทพมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ลงไปดูเหมือนกันแต่ไปไม่ถึงจุดเกิดเหตุ ไปไม่ถึงหลักเขตที่ 46 ด้วยซ้ำ แต่กลับไปยอมรับว่าตัวเองเดินลงไปแล้วไปเห็นว่าเป็นดินแดนกัมพูชาเพียงเพราะเห็นว่ามีชาวกัมพูชาปลูกบ้านอยู่ มีทหารเขมรยืนอยู่ ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่
ทั้งนี้ เนื่องจากจริงๆ แล้วหลักเขตที่ 46 ด้านหนึ่งเป็นของไทย ด้านหนึ่งเป็นของกัมพูชา แต่เจ้าหน้าที่ไทยยังเดินไปไม่ถึงหลักเขตที่ 46 เลย กลับบอกว่าฝั่งนี้ที่เราอยู่เป็นของกัมพูชาแล้ว โดยไม่มีการวัดพิกัดหรือตรวจสอบอะไรให้ชัดเจนเลย คือจุดที่ 7 คนไทยถูกจับคืออบริเวณถนน K5 ซึ่งยังอยู่ในดินแดนไทย อยู่ในพื้นที่ 87 ไร่ ซึ่งถูกชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาตั้งหมู่บ้าน มาทำถนน คนไทยกลุ่มนี้เดินไปที่ถนนเพื่อไปดูหลักเขตที่ท้ายบ้าน คือหลักเขตที่ 46 แล้วทหารกัมพูชาก็เข้ามาจับ
“เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศต้องรับผิดชอบเพราะเป็นคนกำหนดข้อตกลงเรื่องเขตแดน เวลาถามทหารว่าทำไมไผลักดันคนกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามา ทหารก็บอกว่ากระทรวงการต่างประเทศ สมช.(สภาความมั่นคงแห่งชาติ) นายกฯ ไม่สั่ง เมื่อรัฐบาลไม่มีคำสั่งอะไรออกไปทหารก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกรณีปราสาทพระวิหาร ผมว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ปัญหามันจะลุกลามไปเรื่อยๆในหลายๆพื้นที่ ไทยจะเสียดินแดนตลอดแนวชายไทยกัมพูชาเลย เพราะเขมรรุกเข้ามาตลอด เมื่อชาวบ้านมาร้องว่าถูกรุกที่แล้วเจ้าหน้าที่รัฐไม่ฟัง ไม่ดำเนินการอะไร ก็เท่ากับเรายอมยกแผ่นดินไทยให้เขมร ผมเสนอว่าเมื่อเกิดปัญหาตรงนี้ขึ้นรัฐบาลควรตั้งทีมงานลงไปตรวจสอบว่าเลยแนวตะเข็บชายแดนทั้งหมดเป็นอย่างไร บริเวณไหนที่ชาวบ้านมีความเดือดร้อนก็รีบลงไปดูเลย เพื่อที่จะได้จัดทำเขตแดนให้ชัดเจน ถ้าเป็นแผ่นดินไทยแต่เขมรรุกล้ำเข้ามาก็ต้องผลักดันออกไป รวมทั้งพิจารณาว่า MOU 43 มันมีประโยชน์จริงไหม หรือว่ามันแผลงฤทธิ์กลับมาทำร้ายประเทศไทย” เทพมนตรี กล่าวตบท้ายไว้อย่างน่าสนใจ