ASTVผู้จัดการรายวัน - ดีเอสไอตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อมูล “พานทองแท้-พินทองทา” เบิกถอนเงินสดจากทรัพย์สินที่ถูกอายัด ขอเวลา 2-3 วัน ยังไม่ฟันธงผิดกฎหมายหรือไม่
วานนี้ (30 มี.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีกรมสรรพากรมอบหมายให้ดีเอสไอตรวจสอบการเบิกถอนเงินสดของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้กรมสรรพากรได้อายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ เพื่อนำมาชำระภาษีค้างจ่ายในคดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นแอมเพิลริช ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทว่า ดีเอสไอเพิ่งได้รับหนังสือจากกรมสรรพากร จำนวน 1 ฉบับ เพื่อให้ตรวจสอบการเบิกถอนเงินดังกล่าว ซึ่งตนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบข้อมูล โดยมี พ.ต.อ.มานิต ธนะสันติ ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคารเป็นหัวหน้า ซึ่งจะเร่งตรวจสอบให้เร็วที่สุด จึงขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดมากขึ้น
ส่วนจะเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากเป็นกรณีตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยดีเอสไอจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า กรมสรรพากรได้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบการดำเนินงานของ บริษัท นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร ถือหุ้นอยู่ และมีการถอนเงินสดออกไปจากบริษัททั้งที่กรมสรรพากรได้อายัดหุ้นดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบให้กรมสรรพากรได้รับความเสียหายได้รับเงินชำระภาษีที่ทั้ง 2 คน ค้างจ่ายไว้ไม่เพียงพอ
“คลังและกรมสรรพากรได้ศึกษาพบว่า การดำเนินการถอนเงินสดออกไปอาจจะผิดกฎหมายเป็นการฉ้อโกงเจ้าหนี้ จึงส่งเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบหากมีมูล ทางดีเอสไอมีอำนาจที่จะอายัดทรัพย์ ของบริษัทดังกล่าวไว้ได้เพื่อนำมาชำระภาษีต่อไป”
ส่วนนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้แยกแยะทรัพย์สินเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ต้องระวัง การทยอยถอนเงินที่ศาลสั่งให้ถอนอายัดอาจมีผลต่อเม็ดเงินที่จะนำมาชำระค่าความเสียหายของหน่วยงานรัฐ ทั้งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
ล่าสุดวานนี้ (30 มี.ค.) นายกรณ์ตอบผู้สื่อข่าวที่ถามถึงความคืบหน้าของคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ให้ไปสอบถามกับกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง.
วานนี้ (30 มี.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีกรมสรรพากรมอบหมายให้ดีเอสไอตรวจสอบการเบิกถอนเงินสดของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้กรมสรรพากรได้อายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ เพื่อนำมาชำระภาษีค้างจ่ายในคดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นแอมเพิลริช ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทว่า ดีเอสไอเพิ่งได้รับหนังสือจากกรมสรรพากร จำนวน 1 ฉบับ เพื่อให้ตรวจสอบการเบิกถอนเงินดังกล่าว ซึ่งตนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบข้อมูล โดยมี พ.ต.อ.มานิต ธนะสันติ ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคารเป็นหัวหน้า ซึ่งจะเร่งตรวจสอบให้เร็วที่สุด จึงขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดมากขึ้น
ส่วนจะเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากเป็นกรณีตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยดีเอสไอจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า กรมสรรพากรได้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบการดำเนินงานของ บริษัท นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร ถือหุ้นอยู่ และมีการถอนเงินสดออกไปจากบริษัททั้งที่กรมสรรพากรได้อายัดหุ้นดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบให้กรมสรรพากรได้รับความเสียหายได้รับเงินชำระภาษีที่ทั้ง 2 คน ค้างจ่ายไว้ไม่เพียงพอ
“คลังและกรมสรรพากรได้ศึกษาพบว่า การดำเนินการถอนเงินสดออกไปอาจจะผิดกฎหมายเป็นการฉ้อโกงเจ้าหนี้ จึงส่งเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบหากมีมูล ทางดีเอสไอมีอำนาจที่จะอายัดทรัพย์ ของบริษัทดังกล่าวไว้ได้เพื่อนำมาชำระภาษีต่อไป”
ส่วนนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้แยกแยะทรัพย์สินเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ต้องระวัง การทยอยถอนเงินที่ศาลสั่งให้ถอนอายัดอาจมีผลต่อเม็ดเงินที่จะนำมาชำระค่าความเสียหายของหน่วยงานรัฐ ทั้งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
ล่าสุดวานนี้ (30 มี.ค.) นายกรณ์ตอบผู้สื่อข่าวที่ถามถึงความคืบหน้าของคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ให้ไปสอบถามกับกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง.