ASTVผู้จัดการรายวัน- “อภิสิทธิ์”ส่งทนายฟ้อง “นช.ทักษิณ” วิดีโอลิงก์ปราศรัย เวทีม็อบเสื้อแดง กล่าวหาเป็นคนก้าวร้าว สั่งทหารปราบประชาชนช่วงม็อบแดงก่อจลาจล เม.ย.52 ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 24 พ.ค.นี้
วานนี้(22 มี.ค.)ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 326, 328 และ 332
ตามคำฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 14-17 มี.ค.2553 เวลากลางคืนระหว่าง 20.00-22.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยได้กล่าวปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงและทำการถ่ายทอดสดภาพและเสียงจากต่างประเทศ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต วิดีโอลิงก์ บนเวทีปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถ.ราชดำเนิน โดยมีข้อความกล่าวพาดพิง นายอภิสิทธิ์ ทำให้เสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่น ทำนองว่า โจทย์มีอาการป่วยทางโรคจิต เพราะชอบใช้ความรุนแรง ทำตัวเป็นผู้ดีอังกฤษ ไม่มีความเป็นคนไทย เจอผู้ใหญ่ไม่เคยไหว้ ไม่มีสัมมาคารวะ และเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป อยู่ในสิ่งแวดล้อมของคนสีม่วง มีอารมณ์ก้าวร้าว และโจทก์ได้อำนาจมาจากการปล้น โดยพวกอำมาตย์ช่วยปล้นมาให้รวมทั้งกล่าวหาว่าโจทก์สั่งการให้ทหาร ตำรวจ สร้างสถานการณ์จลาจล เพื่อใช้กำลังปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2552
ซึ่งข้อความปราศรัยของจำเลยดังกล่าวได้มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ช่องพีเพิลแชนแนล วิทยุและโทรทัศน์ช่องอื่นอีกหลายสถานี ทำให้ประชาชนที่ฟังและชมการถ่ายทอดทั่วประเทศเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนที่มีใจอำมหิต โหดเหี้ยม ซึ่งคำปราศรัยของจำเลยล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น โดยคลิปเสียงของโจทก์ที่มีข้อความว่า โจทก์สั่งการให้ทหาร ตำรวจ ปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายน 2552 ปรากฏชัดแล้วว่า กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการพิสูจน์อย่างละเอียดแล้ว พบว่า เป็นการตัดต่อเสียงของโจทก์ โดยกลุ่มเสื้อแดงนำคลิปเสียงดังกล่าวไปเผยแพร่เพื่อมุ่งหวังในการปลุกระดม และให้ประชาชนที่ไม่ทราบความจริงเกิดความเกลียดชังและอาฆาตต่อโจทก์ และกรณีที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่กล้านำคดีมาฟ้องผู้ที่นำคลิปเสียงมาเปิดเผย เพราะเกรงว่าจะมีการพิสูจน์ความจริง นั้น โจทก์ได้ฟ้องผู้ที่นำคลิปเสียงมาเปิดเผยเป็นคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลอาญาหลายคดีแล้ว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ท้ายคำฟ้อง โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายและให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาของศาลทั้งฉบับในหนังสือพิมพ์รายวัน 9 ฉบับ ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน ในหน้าข่าวปกติ และขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ด้วย
โดยศาลรับไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1074/2553 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 24 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ ภายหลังยื่นฟ้อง นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความซึ่งรับมอบอำนาจให้มายื่นคำฟ้อง กล่าวว่า คดีนี้นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มอบอำนาจให้บุคคลใดฟ้องคดีแทน ดังนั้น เมื่อมีการไต่สวนมูลฟ้องนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเบิกความด้วยตนเอง เหมือนเช่นคดีที่เคยยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.
อย่างไรก็ดี จะมีการฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายต่อไปด้วยหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะขณะนี้ได้รับแจ้งให้ยื่นฟ้องคดีอาญาเท่านั้น ส่วนที่ท้ายคำฟ้องขอให้นับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อจากคดีอาญาที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่คดีในความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ทางกฎหมายเมื่อฟ้องคดีอาญา และปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษในคดีอาญาก็สามารถที่จะยื่นร้องขอให้ศาลนับโทษต่อได้
วานนี้(22 มี.ค.)ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 326, 328 และ 332
ตามคำฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 14-17 มี.ค.2553 เวลากลางคืนระหว่าง 20.00-22.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยได้กล่าวปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงและทำการถ่ายทอดสดภาพและเสียงจากต่างประเทศ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต วิดีโอลิงก์ บนเวทีปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถ.ราชดำเนิน โดยมีข้อความกล่าวพาดพิง นายอภิสิทธิ์ ทำให้เสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่น ทำนองว่า โจทย์มีอาการป่วยทางโรคจิต เพราะชอบใช้ความรุนแรง ทำตัวเป็นผู้ดีอังกฤษ ไม่มีความเป็นคนไทย เจอผู้ใหญ่ไม่เคยไหว้ ไม่มีสัมมาคารวะ และเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป อยู่ในสิ่งแวดล้อมของคนสีม่วง มีอารมณ์ก้าวร้าว และโจทก์ได้อำนาจมาจากการปล้น โดยพวกอำมาตย์ช่วยปล้นมาให้รวมทั้งกล่าวหาว่าโจทก์สั่งการให้ทหาร ตำรวจ สร้างสถานการณ์จลาจล เพื่อใช้กำลังปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2552
ซึ่งข้อความปราศรัยของจำเลยดังกล่าวได้มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ช่องพีเพิลแชนแนล วิทยุและโทรทัศน์ช่องอื่นอีกหลายสถานี ทำให้ประชาชนที่ฟังและชมการถ่ายทอดทั่วประเทศเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนที่มีใจอำมหิต โหดเหี้ยม ซึ่งคำปราศรัยของจำเลยล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น โดยคลิปเสียงของโจทก์ที่มีข้อความว่า โจทก์สั่งการให้ทหาร ตำรวจ ปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายน 2552 ปรากฏชัดแล้วว่า กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการพิสูจน์อย่างละเอียดแล้ว พบว่า เป็นการตัดต่อเสียงของโจทก์ โดยกลุ่มเสื้อแดงนำคลิปเสียงดังกล่าวไปเผยแพร่เพื่อมุ่งหวังในการปลุกระดม และให้ประชาชนที่ไม่ทราบความจริงเกิดความเกลียดชังและอาฆาตต่อโจทก์ และกรณีที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่กล้านำคดีมาฟ้องผู้ที่นำคลิปเสียงมาเปิดเผย เพราะเกรงว่าจะมีการพิสูจน์ความจริง นั้น โจทก์ได้ฟ้องผู้ที่นำคลิปเสียงมาเปิดเผยเป็นคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลอาญาหลายคดีแล้ว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ท้ายคำฟ้อง โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายและให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาของศาลทั้งฉบับในหนังสือพิมพ์รายวัน 9 ฉบับ ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน ในหน้าข่าวปกติ และขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ด้วย
โดยศาลรับไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1074/2553 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 24 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ ภายหลังยื่นฟ้อง นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความซึ่งรับมอบอำนาจให้มายื่นคำฟ้อง กล่าวว่า คดีนี้นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มอบอำนาจให้บุคคลใดฟ้องคดีแทน ดังนั้น เมื่อมีการไต่สวนมูลฟ้องนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเบิกความด้วยตนเอง เหมือนเช่นคดีที่เคยยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.
อย่างไรก็ดี จะมีการฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายต่อไปด้วยหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะขณะนี้ได้รับแจ้งให้ยื่นฟ้องคดีอาญาเท่านั้น ส่วนที่ท้ายคำฟ้องขอให้นับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อจากคดีอาญาที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่คดีในความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ทางกฎหมายเมื่อฟ้องคดีอาญา และปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษในคดีอาญาก็สามารถที่จะยื่นร้องขอให้ศาลนับโทษต่อได้