**นับว่าเลือกชัยภูมิไม่ผิดทีเดียวสำหรับที่บัญชาการแผนรับมือ “เสื้อแดง” ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ครบเครื่องทั้งด้านยานยนต์ พลทหาร เฮลิคอปเตอร์ จอด “โชว์เพาว์” กันเต็มพื้นที่ ข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อน ที่สำคัญพื้นที่นี้ ทางหนีทีไล่เยอะ ไม่ว่าจะมาจากมุมไหน ซอกไหน ล้วนแต่หลีกหนีได้ทั้งนั้น
และอยู่ภายใต้ร่มเงา “ผู้การแดง” พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ลูกชาย “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช.
โดยมี “บิ๊กอ๊อด” พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก คุมกำลังพล จัดทัพใหญ่
**ทำให้การรักษาคุ้มครองนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างเข้มข้น ภายในบริเวณนี้เพราะเป็นจุดบัญชาการแผนรับมือ “เสื้อแดง” และ “เซฟเฮ้าส์” ของนายกรัฐมนตรี และคณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปองร้าย จึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของคณะผู้นำ
ดังนั้นการเคลื่อนไหวปิดล้อมของ “เสื้อแดง” ในช่วงเที่ยงของวันที่ผ่านมานั้นบรรยากาศภายในราบ 11 จึงไม่ร้อนระอุ เหมือนภายนอกรั้วทหาร
พลันที่ประตูเข้า-ออกถูกปิด นายกรัฐมนตรี ก็ติดปีกขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรวจสภาพจราจรในทันใด
เมื่อแผนปฏิบัติการขู่รัฐบาลให้ยุบสภาไม่ถูกสนอง หลังการนำมวลชนมากดดันที่ด้านหน้าราบ 11 ได้รับเสียงตอบรับจาก “อภิสิทธิ์” ปิดประตูยุบสภา
ทำให้ “เสื้อแดง” ต้องปรับแผนปฏิบัติการ ประกาศมาตรการเข้มข้น ขอรับบริจาคเลือด 1 ล้านซีซี เพื่อเทประชดรัฐบาลรอบๆ ทำเนียบฯ
ไม่ทันได้รับบริจาคเลือดสักหยด เสียงเอ็ม 79 ติดต่อกัน 4 นัด ยิงเข้ามาภายใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ ตรงข้ามสถานีวิทยุโทรทัศน์ เอ็นบีที ถูกยิงจากรถกระบะที่วิ่งผ่านบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ทำให้นายทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บทันที
หรือนี่คือก๊อก 2 ของมาตรการเข้มข้น ที่แกนนำเสื้อแดงประกาศ
ออกแนวยั่วยุ บีบทหารให้ออกมาเผชิญหน้า เข็ญรถถังออกมาเคลียร์สถานการณ์ร้อน ที่ฝ่าย “เสื้อแดง”จุดไฟขึ้น
สอดคล้องกับข่าววินาศกรรมที่ออกมาก่อนหน้านี้ ที่จะมีกลุ่มฮาร์ดคอร์รอจังหวะที่จะเข้ามาป่วนสถานการณ์ โหมไฟให้ลุกขึ้นในใจกลางกรุง
**นั่นเท่ากับสะท้อนเป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มเสื้อแดงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างที่รัฐบาลประเมิน ข้อเรียกร้องของ “เสื้อแดง” ไปไกลกว่าเรื่องยุบสภาแล้ว เพราะที่สุดแล้วการ “ยุบสภา” อาจเป็นแค่เป้าลวงที่กลุ่มเสื้อแดงหยิบยกขึ้นมาเรียกแขก
เป้าหมายที่ชัดเจน แท้จริง ของกลุ่มเสื้อแดงนั่นคือ “ปฏิวัติ” ล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด หรืออาจจะนำไปสู่การเรียกร้องให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” เข้ามาวาดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกรุยทางให้ “นายใหญ่” ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
จึงต้องจับตาทุกนาทีจากนี้ไป
ขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาล การมีกองทัพยืนเคียงข้างอยู่ใกล้ๆ นั่นทำให้ “อภิสิทธิ์” ได้อุ่นใจ เพราะถ้าเมื่อไร กองทัพแปรพักตร์ รัฐบาลก็อยู่ลำบากท่ามกลางสถานการณ์ลูกผีลูกคน นายกฯ ก็ต้องหนีบทหารไว้แบบปล่อยมือกันไม่ได้
**แต่ที่น่าห่วงนั่นคือ ทหาร “บู๊”อย่าง “บิ๊กตู่” จะอดทนดู “เสื้อแดง” ป่วนอย่างนี้ต่อไปได้นานแค่ไหน เพราะข่าวร่ำๆ เรื่องปฏิวัติ มันเคยส่งกลิ่นคละคลุ้งมาระลอกหนึ่งแล้ว
ถ้าชอบยั่วให้แรง เสื้อแดง ก็จะเจอของจริงเข้า
เพราะขุนทหารอย่าง “บิ๊กตู่” นั้น ใบหน้าเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้าน แต่ในอารมณ์เอาจริงขึ้นมา ก็น่ากลัวกว่าที่คิดไว้แน่
นี่ก็อาจจะเป็นได้ทั้งจุดอ่อน และจุดแข็ง แต่ในภาวการณ์เช่นนี้ การที่จะให้ใครมายืมมือทหารเข้ามาจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ กองทัพต้องตรองให้หนัก เพราะถ้าตัดสินใจพลาด ประเทศไทยจะมีสภาพอย่างไร
**บอกได้คำเดียวว่า “เละ” กว่าโจ๊ก
ครบเครื่องทั้งด้านยานยนต์ พลทหาร เฮลิคอปเตอร์ จอด “โชว์เพาว์” กันเต็มพื้นที่ ข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อน ที่สำคัญพื้นที่นี้ ทางหนีทีไล่เยอะ ไม่ว่าจะมาจากมุมไหน ซอกไหน ล้วนแต่หลีกหนีได้ทั้งนั้น
และอยู่ภายใต้ร่มเงา “ผู้การแดง” พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ลูกชาย “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช.
โดยมี “บิ๊กอ๊อด” พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก คุมกำลังพล จัดทัพใหญ่
**ทำให้การรักษาคุ้มครองนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างเข้มข้น ภายในบริเวณนี้เพราะเป็นจุดบัญชาการแผนรับมือ “เสื้อแดง” และ “เซฟเฮ้าส์” ของนายกรัฐมนตรี และคณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปองร้าย จึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของคณะผู้นำ
ดังนั้นการเคลื่อนไหวปิดล้อมของ “เสื้อแดง” ในช่วงเที่ยงของวันที่ผ่านมานั้นบรรยากาศภายในราบ 11 จึงไม่ร้อนระอุ เหมือนภายนอกรั้วทหาร
พลันที่ประตูเข้า-ออกถูกปิด นายกรัฐมนตรี ก็ติดปีกขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรวจสภาพจราจรในทันใด
เมื่อแผนปฏิบัติการขู่รัฐบาลให้ยุบสภาไม่ถูกสนอง หลังการนำมวลชนมากดดันที่ด้านหน้าราบ 11 ได้รับเสียงตอบรับจาก “อภิสิทธิ์” ปิดประตูยุบสภา
ทำให้ “เสื้อแดง” ต้องปรับแผนปฏิบัติการ ประกาศมาตรการเข้มข้น ขอรับบริจาคเลือด 1 ล้านซีซี เพื่อเทประชดรัฐบาลรอบๆ ทำเนียบฯ
ไม่ทันได้รับบริจาคเลือดสักหยด เสียงเอ็ม 79 ติดต่อกัน 4 นัด ยิงเข้ามาภายใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ ตรงข้ามสถานีวิทยุโทรทัศน์ เอ็นบีที ถูกยิงจากรถกระบะที่วิ่งผ่านบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ทำให้นายทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บทันที
หรือนี่คือก๊อก 2 ของมาตรการเข้มข้น ที่แกนนำเสื้อแดงประกาศ
ออกแนวยั่วยุ บีบทหารให้ออกมาเผชิญหน้า เข็ญรถถังออกมาเคลียร์สถานการณ์ร้อน ที่ฝ่าย “เสื้อแดง”จุดไฟขึ้น
สอดคล้องกับข่าววินาศกรรมที่ออกมาก่อนหน้านี้ ที่จะมีกลุ่มฮาร์ดคอร์รอจังหวะที่จะเข้ามาป่วนสถานการณ์ โหมไฟให้ลุกขึ้นในใจกลางกรุง
**นั่นเท่ากับสะท้อนเป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มเสื้อแดงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างที่รัฐบาลประเมิน ข้อเรียกร้องของ “เสื้อแดง” ไปไกลกว่าเรื่องยุบสภาแล้ว เพราะที่สุดแล้วการ “ยุบสภา” อาจเป็นแค่เป้าลวงที่กลุ่มเสื้อแดงหยิบยกขึ้นมาเรียกแขก
เป้าหมายที่ชัดเจน แท้จริง ของกลุ่มเสื้อแดงนั่นคือ “ปฏิวัติ” ล้างไพ่ใหม่ทั้งหมด หรืออาจจะนำไปสู่การเรียกร้องให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” เข้ามาวาดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกรุยทางให้ “นายใหญ่” ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
จึงต้องจับตาทุกนาทีจากนี้ไป
ขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาล การมีกองทัพยืนเคียงข้างอยู่ใกล้ๆ นั่นทำให้ “อภิสิทธิ์” ได้อุ่นใจ เพราะถ้าเมื่อไร กองทัพแปรพักตร์ รัฐบาลก็อยู่ลำบากท่ามกลางสถานการณ์ลูกผีลูกคน นายกฯ ก็ต้องหนีบทหารไว้แบบปล่อยมือกันไม่ได้
**แต่ที่น่าห่วงนั่นคือ ทหาร “บู๊”อย่าง “บิ๊กตู่” จะอดทนดู “เสื้อแดง” ป่วนอย่างนี้ต่อไปได้นานแค่ไหน เพราะข่าวร่ำๆ เรื่องปฏิวัติ มันเคยส่งกลิ่นคละคลุ้งมาระลอกหนึ่งแล้ว
ถ้าชอบยั่วให้แรง เสื้อแดง ก็จะเจอของจริงเข้า
เพราะขุนทหารอย่าง “บิ๊กตู่” นั้น ใบหน้าเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้าน แต่ในอารมณ์เอาจริงขึ้นมา ก็น่ากลัวกว่าที่คิดไว้แน่
นี่ก็อาจจะเป็นได้ทั้งจุดอ่อน และจุดแข็ง แต่ในภาวการณ์เช่นนี้ การที่จะให้ใครมายืมมือทหารเข้ามาจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ กองทัพต้องตรองให้หนัก เพราะถ้าตัดสินใจพลาด ประเทศไทยจะมีสภาพอย่างไร
**บอกได้คำเดียวว่า “เละ” กว่าโจ๊ก