ASTV ผู้จัดการรายวัน – โบรกเกอร์ประเมินแนวโน้มธุรกิจหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ชู CPALL และ HMPRO โดดเด่นจากนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มของอัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าให้มีสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้น อีกทั้งยังอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำ พร้อมคาดปีนี้ MAKRO และ BIGC จะฟื้นตัว จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและเช่นเดียวปับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวมธุรกิจหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ว่า ในไตรมาส4/52 กลุ่มพาณิชย์มีกำไรสุทธิรวม 4,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% YoY และ 20% QoQ โดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและปริมาณนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาหลังเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดย 3 ใน 5 บริษัทที่วิเคราะห์ในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งมีผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกติดลบ ได้กลับมาฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4/52 ได้แก่ BIGC MAKRO และ ROBINS ขณะอีก 2 บริษัทอย่าง HMPRO CPALL ที่มีผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 เติบโตสูง ยังคงระดับอัตราการเติบโตที่สม่ำเสมอในไตรมาส 4/52
สำหรับ BIGC MAKRO และ ROBINS ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิลดลง 7% YoY, 24.6% YoY และ 7.8% YoY ตามลำดับ สามารถพลิกกลับมามีผลการดำเนินงานไตรมาส 4/52 ที่เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ได้ทุกบริษัท เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงดังกล่าวได้ฟื้นตัวขึ้น กอปรกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นได้หนุนกำลังซื้อในกลุ่มเกษตรกรพร้อมๆ กับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเทศกาลปีใหม่
ขณะที่ ด้านบริษัทที่มีผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 เติบโตอย่าง CPALL และ HMPRO ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/52 โดย CPALL มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 เพิ่มขึ้น 115% YoY แต่ลดลง 23% QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายปีตามลักษณะปกติของธุรกิจ ส่วน HMPRO มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 เพิ่มขึ้น 15% YoY และ 53% QoQ จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและการรับรู้ยอดขายจากงาน HomePro Expo
โดยภาพผลการดำเนินงานปี 52 ของ 13 บริษัทในกลุ่มพาณิชย์ในปี 52 มีกำไรสุทธิรวม 15,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จาก 10,521 ล้านบาท ในปี 51 ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลการการเติบโตของ CPALL ,HMPRO และการพลิกกลับมามีกำไรของ LOXLEY ขณะที่ผลประกอบการของ BIGC MAKRO และ ROBINS ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากในปีก่อนแม้ผลประกอบการไตรมาส 4/52 จะฟื้นตัวโดดเด่นก็ตาม เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในช่วง9 เดือนแรกของปี 52
ดังนั้น บริษัทจึงเลือก CPALL และ HMPRO เป็น Top Pick ในกลุ่มพาณิชย์ จากนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องปีนี้ (HMPRO ขยาย 4-5 สาขา ขณะที่CPALL จะขยาย 450-500 สาขา) ขณะที่ทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มของอัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าให้มีสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองบริษัทยังอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำรวมถึงทั้งสองบริษัทอยู่ในตำแหน่งผู้นำของอุตสาหกรรม
โดยคาดว่าปี 53 CPALL จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 13.5% YoY แนะนำ ซื้อลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว สำหรับCPALL โดยมีราคาเป้าหมาย 27.5 บาท ส่วน HMPRO คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% YoY แนะนำ ซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัว โดยมีราคาเป้าหมาย 5.1 บาท
ส่วนผลการดำเนินงานของ MAKRO และ BIGC มองว่ามีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในปี 53 จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมายังประเทศไทย โดยแนะนำ ซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ MAKRO โดยมีราคาเป้าหมายที่ 97 บาท ขณะที่ BIGC แนะนำ ถือ โดยราคาเป้าหมายอยู่ระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้ผลประกอบการปี 53 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากในปีก่อน แต่ภาวะอุตสาหกรรมค้าปลีกขนาดใหญ่ยังต้องเผชิญกับภาวะการแข็งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจจะยังกดดันให้ผู้บริโภคใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยน้อยลงซึ่งทำให้คาดว่าสัดส่วนของสินค้าประเภทอาหารซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/53 บริษัทคาดว่า จะฟื้นตัวโดดเด่นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นจากไตรมาส 1/52 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศและปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะหนุนให้ยอดขายสาขาเดิมกลับมาเติบโต YoY อีกครั้ง อย่างไรก็ดีเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4/52 ซึ่งกลุ่มพาณิชย์จะไม่ได้ผลบวกจากช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างในไตรมาสก่อน แต่จะยังคงได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นการเติบโตของปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารของ CPALL ที่จะลดลงจากในไตรมาส 4/52 สู่ระดับปกติ ที่จะหนุนให้ผลประกอบการของ CPALL กลับมาเติบโต QoQ อีกครั้ง ดังนั้นจึงคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มพาณิชย์จะทรงตัว-ดีขึ้นจากในไตรมาส4/52
ด้าน บล.ทิสโก้ ให้ความเห็นว่า หลังจากที่เราได้พาผู้บริหารของ BIGC พบกับนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งใน 4Q52 ทำให้คาดว่าในปีนี้บริษัทจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งด้วยการฟื้นตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยว รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น แม้ราคาหุ้น BIGC พุ่งขึ้น 16% หลังจากประกาศผลประกอบการ แต่ราคาหุ้นยังซื้อขายในระดับที่ถูก PER 11 เท่า ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 57 บาท (DCF)
อีกทั้งในปีนี้ BIGC วางแผนที่จะขยาย 4 สาขาใหม่ โดย 3 สาขามีขนาด 6,000 ตารางเมตร ขณะที่บริษัทจะเปิดตัวสาขารูปแบบใหม่ ด้วยขนาดที่เล็กลงจากสาขา hypermarket มาอยู่ที่ 1,000-2,000 ตารางเมตรในไตรมาส 4/53 เพราะผู้บริหารเชื่อว่าสาขารูปแบบนี้และรูปแบบสาขาที่มีขนาดเล็กอื่น ๆ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา จะมีศักยภาพในการหนุนการเติบโตผลประกอบการในระยะกลาง-ระยะยาว
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากการขยายสาขาและการเติบโตยอดขาย ผู้บริหารของบริษัทยังเน้นเรื่องเงินทุนหมุนเวียนซึ่งจะหนุนความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินในอนาคต ด้วยสถานะเงินสดสุทธิในปัจจุบัน BIGC สามารถใช้กระแสเงินสดภายในเพื่อขยายสาขา
นอกจากนี้ BIGC จะประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับการดำเนินงานในปี 2552 ในสิ้นเดือนนี้ แม้ว่าไม่แน่นอนว่ามีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น แต่จากสถิติของ BIGC แสดงว่าจำนวนเงินปันผลที่จ่าย จะเท่ากับหรือสูงขึ้นในทุก ๆ ปีด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไร อนึ่ง ปกติบริษัทจะประกาศจ่ายปันผลช่วงกลางเดือน มี.ค. และขึ้น XD ในช่วงปลายเดือน มี.ค. – ต้น เม.ย. โดยในประมาณการคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 52 ที่ประมาณ 2 บาท/หุ้น
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์ บริษัทแจ้งว่าผลประกอบการปี 2010 ยังเติบโตต่อเนื่อง นับจาก 4Q09 ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรปี 2010 เพิ่มขึ้นจากเดิม 7% เป็น 3,192 ล้านบาท (EPS=3.98 บาท/หุ้น) เติบโต 11.3% Y-Y โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1. บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่ง รวมจำนวนสาขาทั้งสิ้น 71 แห่ง จากปีก่อนที่ขยายสาขาเพียง 1 แห่งเท่านั้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยสาขาแรกในปีนี้ จะเปิดราวเดือน เม.ย.คือ สาขามหาชัย (ขนาด Standard พื้นที่ 12,000 ตร.ม.) ส่วนที่เหลือประกอบด้วย สาขาขนาดกลางพื้นที่ 6,000-8,000 ตร.ม. จำนวน 2 สาขา และอีก 1 สาขา เป็นสาขาขนาดเล็กพื้นที่ประมาณ 2,000 ตร.ม. คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2,000 ล้านบาท
2. บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายต่อสาขา (SSSG) ประมาณ 2% เป็นการเติบโตต่อเนื่อง จาก 4Q09 ที่สามารถพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกที่ 0.23% โดยเดือน ธ.ค.เพียงเดือนเดียว มี SSSG +5.6% แต่ยังไม่สามารถชดเชยจากที่ติดลบตลอดช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2009 ทำให้ SSSG ทั้งปี 2009 เป็น -3.7% อย่างไรก็ตาม คาด SSSG conservative กว่าเป้าของบริษัท คือ เติบโต 1% แต่การขยายสาขาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ จะทำให้ยอดขายเติบโตได้ 7% Y-Y อยู่ที่ราว 72,842 ล้านบาท
3. รายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นคาดว่ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา และการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าปีละ 5% ปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 95% ในขณะที่รายได้อื่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากการได้รับเงื่อนไขทางการค้าที่ดีขึ้น จากการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ให้กับ Suppliers
ดังนั้นจึงคาดว่าบริษัทจะจ่ายในอัตราหุ้นละ 1.79 บาท คิดเป็น Dividend Yield 3.9% และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 47.50 บาท เป็น 53.00 บาท โดยใช้วิธี DCF (WACC 9.5%) ณ ราคาเป้าหมายใหม่มี PER และ PBV เท่ากับ 13.3 และ 2.07 เท่า ตามลำดับ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต นอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 3-4% ยังมี Upside อีก 16.5% คงคำแนะนำ "ซื้อ"
ปัจจุบัน ณ ปิดตลาดวันที่ 12 มี.ค. หุ้น BIGC ปิดที่ 47.50 บา เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.15% MAKRO ปิดที่ 92.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 1.10% ROBINS ปิดที่ 12.00บาท เพิ่มขึ้น 0.20บาท หรือ 1.69% HMPRO ปิดที่ 4.92 บาท ลดง0.08 บาท หรือ-1.60% และ CPALL ปิดที่ 24.00 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวมธุรกิจหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ว่า ในไตรมาส4/52 กลุ่มพาณิชย์มีกำไรสุทธิรวม 4,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% YoY และ 20% QoQ โดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและปริมาณนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาหลังเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดย 3 ใน 5 บริษัทที่วิเคราะห์ในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งมีผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกติดลบ ได้กลับมาฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4/52 ได้แก่ BIGC MAKRO และ ROBINS ขณะอีก 2 บริษัทอย่าง HMPRO CPALL ที่มีผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 เติบโตสูง ยังคงระดับอัตราการเติบโตที่สม่ำเสมอในไตรมาส 4/52
สำหรับ BIGC MAKRO และ ROBINS ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิลดลง 7% YoY, 24.6% YoY และ 7.8% YoY ตามลำดับ สามารถพลิกกลับมามีผลการดำเนินงานไตรมาส 4/52 ที่เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ได้ทุกบริษัท เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงดังกล่าวได้ฟื้นตัวขึ้น กอปรกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นได้หนุนกำลังซื้อในกลุ่มเกษตรกรพร้อมๆ กับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเทศกาลปีใหม่
ขณะที่ ด้านบริษัทที่มีผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 เติบโตอย่าง CPALL และ HMPRO ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/52 โดย CPALL มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 เพิ่มขึ้น 115% YoY แต่ลดลง 23% QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายปีตามลักษณะปกติของธุรกิจ ส่วน HMPRO มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 เพิ่มขึ้น 15% YoY และ 53% QoQ จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและการรับรู้ยอดขายจากงาน HomePro Expo
โดยภาพผลการดำเนินงานปี 52 ของ 13 บริษัทในกลุ่มพาณิชย์ในปี 52 มีกำไรสุทธิรวม 15,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จาก 10,521 ล้านบาท ในปี 51 ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลการการเติบโตของ CPALL ,HMPRO และการพลิกกลับมามีกำไรของ LOXLEY ขณะที่ผลประกอบการของ BIGC MAKRO และ ROBINS ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากในปีก่อนแม้ผลประกอบการไตรมาส 4/52 จะฟื้นตัวโดดเด่นก็ตาม เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในช่วง9 เดือนแรกของปี 52
ดังนั้น บริษัทจึงเลือก CPALL และ HMPRO เป็น Top Pick ในกลุ่มพาณิชย์ จากนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องปีนี้ (HMPRO ขยาย 4-5 สาขา ขณะที่CPALL จะขยาย 450-500 สาขา) ขณะที่ทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มของอัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าให้มีสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองบริษัทยังอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำรวมถึงทั้งสองบริษัทอยู่ในตำแหน่งผู้นำของอุตสาหกรรม
โดยคาดว่าปี 53 CPALL จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 13.5% YoY แนะนำ ซื้อลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว สำหรับCPALL โดยมีราคาเป้าหมาย 27.5 บาท ส่วน HMPRO คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% YoY แนะนำ ซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัว โดยมีราคาเป้าหมาย 5.1 บาท
ส่วนผลการดำเนินงานของ MAKRO และ BIGC มองว่ามีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในปี 53 จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมายังประเทศไทย โดยแนะนำ ซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ MAKRO โดยมีราคาเป้าหมายที่ 97 บาท ขณะที่ BIGC แนะนำ ถือ โดยราคาเป้าหมายอยู่ระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้ผลประกอบการปี 53 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากในปีก่อน แต่ภาวะอุตสาหกรรมค้าปลีกขนาดใหญ่ยังต้องเผชิญกับภาวะการแข็งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจจะยังกดดันให้ผู้บริโภคใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยน้อยลงซึ่งทำให้คาดว่าสัดส่วนของสินค้าประเภทอาหารซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/53 บริษัทคาดว่า จะฟื้นตัวโดดเด่นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นจากไตรมาส 1/52 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศและปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะหนุนให้ยอดขายสาขาเดิมกลับมาเติบโต YoY อีกครั้ง อย่างไรก็ดีเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4/52 ซึ่งกลุ่มพาณิชย์จะไม่ได้ผลบวกจากช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างในไตรมาสก่อน แต่จะยังคงได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นการเติบโตของปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารของ CPALL ที่จะลดลงจากในไตรมาส 4/52 สู่ระดับปกติ ที่จะหนุนให้ผลประกอบการของ CPALL กลับมาเติบโต QoQ อีกครั้ง ดังนั้นจึงคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มพาณิชย์จะทรงตัว-ดีขึ้นจากในไตรมาส4/52
ด้าน บล.ทิสโก้ ให้ความเห็นว่า หลังจากที่เราได้พาผู้บริหารของ BIGC พบกับนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งใน 4Q52 ทำให้คาดว่าในปีนี้บริษัทจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งด้วยการฟื้นตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยว รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น แม้ราคาหุ้น BIGC พุ่งขึ้น 16% หลังจากประกาศผลประกอบการ แต่ราคาหุ้นยังซื้อขายในระดับที่ถูก PER 11 เท่า ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 57 บาท (DCF)
อีกทั้งในปีนี้ BIGC วางแผนที่จะขยาย 4 สาขาใหม่ โดย 3 สาขามีขนาด 6,000 ตารางเมตร ขณะที่บริษัทจะเปิดตัวสาขารูปแบบใหม่ ด้วยขนาดที่เล็กลงจากสาขา hypermarket มาอยู่ที่ 1,000-2,000 ตารางเมตรในไตรมาส 4/53 เพราะผู้บริหารเชื่อว่าสาขารูปแบบนี้และรูปแบบสาขาที่มีขนาดเล็กอื่น ๆ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา จะมีศักยภาพในการหนุนการเติบโตผลประกอบการในระยะกลาง-ระยะยาว
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากการขยายสาขาและการเติบโตยอดขาย ผู้บริหารของบริษัทยังเน้นเรื่องเงินทุนหมุนเวียนซึ่งจะหนุนความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินในอนาคต ด้วยสถานะเงินสดสุทธิในปัจจุบัน BIGC สามารถใช้กระแสเงินสดภายในเพื่อขยายสาขา
นอกจากนี้ BIGC จะประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับการดำเนินงานในปี 2552 ในสิ้นเดือนนี้ แม้ว่าไม่แน่นอนว่ามีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น แต่จากสถิติของ BIGC แสดงว่าจำนวนเงินปันผลที่จ่าย จะเท่ากับหรือสูงขึ้นในทุก ๆ ปีด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไร อนึ่ง ปกติบริษัทจะประกาศจ่ายปันผลช่วงกลางเดือน มี.ค. และขึ้น XD ในช่วงปลายเดือน มี.ค. – ต้น เม.ย. โดยในประมาณการคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 52 ที่ประมาณ 2 บาท/หุ้น
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์ บริษัทแจ้งว่าผลประกอบการปี 2010 ยังเติบโตต่อเนื่อง นับจาก 4Q09 ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรปี 2010 เพิ่มขึ้นจากเดิม 7% เป็น 3,192 ล้านบาท (EPS=3.98 บาท/หุ้น) เติบโต 11.3% Y-Y โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1. บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่ง รวมจำนวนสาขาทั้งสิ้น 71 แห่ง จากปีก่อนที่ขยายสาขาเพียง 1 แห่งเท่านั้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยสาขาแรกในปีนี้ จะเปิดราวเดือน เม.ย.คือ สาขามหาชัย (ขนาด Standard พื้นที่ 12,000 ตร.ม.) ส่วนที่เหลือประกอบด้วย สาขาขนาดกลางพื้นที่ 6,000-8,000 ตร.ม. จำนวน 2 สาขา และอีก 1 สาขา เป็นสาขาขนาดเล็กพื้นที่ประมาณ 2,000 ตร.ม. คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2,000 ล้านบาท
2. บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายต่อสาขา (SSSG) ประมาณ 2% เป็นการเติบโตต่อเนื่อง จาก 4Q09 ที่สามารถพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกที่ 0.23% โดยเดือน ธ.ค.เพียงเดือนเดียว มี SSSG +5.6% แต่ยังไม่สามารถชดเชยจากที่ติดลบตลอดช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2009 ทำให้ SSSG ทั้งปี 2009 เป็น -3.7% อย่างไรก็ตาม คาด SSSG conservative กว่าเป้าของบริษัท คือ เติบโต 1% แต่การขยายสาขาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ จะทำให้ยอดขายเติบโตได้ 7% Y-Y อยู่ที่ราว 72,842 ล้านบาท
3. รายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นคาดว่ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา และการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าปีละ 5% ปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 95% ในขณะที่รายได้อื่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากการได้รับเงื่อนไขทางการค้าที่ดีขึ้น จากการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ให้กับ Suppliers
ดังนั้นจึงคาดว่าบริษัทจะจ่ายในอัตราหุ้นละ 1.79 บาท คิดเป็น Dividend Yield 3.9% และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 47.50 บาท เป็น 53.00 บาท โดยใช้วิธี DCF (WACC 9.5%) ณ ราคาเป้าหมายใหม่มี PER และ PBV เท่ากับ 13.3 และ 2.07 เท่า ตามลำดับ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต นอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 3-4% ยังมี Upside อีก 16.5% คงคำแนะนำ "ซื้อ"
ปัจจุบัน ณ ปิดตลาดวันที่ 12 มี.ค. หุ้น BIGC ปิดที่ 47.50 บา เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.15% MAKRO ปิดที่ 92.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 1.10% ROBINS ปิดที่ 12.00บาท เพิ่มขึ้น 0.20บาท หรือ 1.69% HMPRO ปิดที่ 4.92 บาท ลดง0.08 บาท หรือ-1.60% และ CPALL ปิดที่ 24.00 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง