หลังจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็มีการตั้งที่ปรึกษาหลายสิบคน และในจำนวนนี้ก็มีหลายคนที่เคยเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการขายสินทรัพย์ของชาติ อันเนื่องจากวิกฤต 2540
จึงทำให้เป็นที่จับตามองว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาทำอะไรกับบ้านเมืองอีก เพราะเหตุการณ์ ปรส. ที่เอาทรัพย์สมบัติของชาติไปขายเลหลังถูกๆ ให้ฝรั่งเข้ามาปล้นสะดมนักธุรกิจไทยยังเป็นแผลคาใจอยู่ในปัจจุบัน
ผู้คนจับตามองกันไม่กี่วัน ก็เริ่มมีข่าวออกลายให้ปรากฏว่ากำลังมีการเตรียมการที่จะออกกฎหมายแก้ไขกฎหมายเงินทุนสำรองเงินตรา พูดง่ายๆ ว่ารวมบัญชีเกี่ยวกับเงินตราทั้งหมดให้อยู่ในอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง
พูดง่ายๆ ก็คือเอาเงินคลังหลวงทั้งหมดให้มาอยู่ในอำนาจบริหารจัดการที่จะจัดการได้ตามนโยบายของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ต้องอยู่ในภาระที่จะต้องดำรงไว้เพื่อเป็นหลักประกันค่าเงินบาทที่ทุกคนมีถือมีใช้กันอยู่อีกต่อไป
เพราะเมื่อรวมบัญชีกันแล้ว ภาระการดำรงกองทุนเงินตราทั้งหมดเพื่อเป็นหลักประกันของค่าเงินบาทก็เป็นอันหมดไป และรัฐบาลรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยก็สามารถนำเงินไปใช้ได้ตามที่จะกำหนดเป็นนโยบายหรือที่เห็นสมควรต่อไป
ถ้าโชคดีมีผลให้การใช้เงินนั้นเป็นประโยชน์งอกเงยก็ดีไป แต่ถ้าโชคร้ายเกิดความฉิบหายขึ้นกับเงินเหล่านั้นแล้ว เงินบาทของไทยก็จะกลายเป็นเงินกงเต็กในทันใดนั้น
ดังนั้นพลันที่มีข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น เสียงตะโกนก้องก็กระหึ่มไปทั้งเมืองว่า ระวัง ระวัง จะมีคนปล้นคลังหลวงอีกแล้ว!
คณะศิษย์หลวงตาพระมหาบัวซึ่งมีฐานะประหนึ่งองครักษ์พิทักษ์คลังหลวง พอทราบข่าวเรื่องนี้ก็ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างชัดเจน
แม้บรรดาผู้ที่เคยติดตามเรื่องนี้มาในอดีต ไม่ว่าในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย หรือรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พากันคัดค้านและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับรัฐบาล โดยจะไม่แยแสต่อการคุกคามของอำนาจเก่าที่ส่อเค้าว่าจะรุนแรงอีกต่อไป
ก็คงเป็นด้วยน้ำใจว่าหากคลังหลวงถูกปล้นเสียแล้ว การดำรงคงอยู่ของประเทศชาติก็ไร้ความหมายอีกต่อไป เมื่อไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จึงพร้อมใจกันคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยว
ก็ต้องชื่นชมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่รับฟังและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนความห่วงใยของผู้คนที่ห่วงใยในเรื่องเงินคลังหลวงนี้ จึงได้รีบแสดงท่าทีใหม่ว่าจะไม่แก้กฎหมายรวมเงินทุนสำรองเงินตราทั้ง 3 บัญชีอีกต่อไป
นับว่าเป็นการปรับท่าทีใหม่ได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเสียรังวัดไปมากกว่านี้ แต่ทว่าเรื่องนี้ก็มีที่ไปที่มาและมีเรื่องที่มีความจำเป็นแฝงอยู่จริงๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความคิดที่จะเอาเงินคลังหลวงไปใช้
และเมื่อมีความคิดจะเอาเงินคลังหลวงไปใช้แล้วก็เลยเถิดคิดรวบเอาเงินคลังหลวงเข้ามาอยู่ในอำนาจใช้สอยของหน่วยงานบางหน่วยเสียทั้งหมดแต่ผู้เดียว โดยไม่แยแสว่าเงินคลังหลวงนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล ไม่ใช่เงินของกระทรวงการคลัง และไม่ใช่เงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีสิทธิที่จะเอาไปใช้ฟรีๆ ตามอำเภอใจหรือตามใจชอบ
เพราะมันเป็นเงินของประชาชนและของประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นเงินที่ต้องดำรงและสำรองไว้เพื่อเป็นหลักประกันให้กระดาษและโลหะที่ได้ชื่อว่าเป็นธนบัตรและเหรียญกษาปณ์มีมูลค่าและราคาที่ตราไว้ หากไม่มีหลักประกันนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ก็จะกลายเป็นเงินกงเต็กสำหรับเซ่นไหว้ผีไปในทันที
อะไรที่คิดมากทำมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ดังนั้นอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความคิดเช่นนี้และความพอดีอยู่ที่ไหน จะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันสักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยมีความร้อนใจในภาระหนักที่เกิดจากความฉิบหายครั้งใหญ่ในการแก้วิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2540
เป็นผลจากการยึดเอาทรัพย์สมบัติของธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 50 แห่ง โดยรัฐบาลกู้เงินมาชำระหนี้เงินฝากแทนสถาบันการเงินเหล่านั้น แล้วรับเอาสินทรัพย์มูลค่าเท่ากันมาบริหารจัดการ
แต่เพราะมีการขายชาติ โกงชาติ ขายทรัพย์สินเหล่านั้นไปให้กับต่างชาติในราคาถูกๆ ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นมูลค่าประมาณ 1,400,000 ล้านบาท
ก็ต้องบอกก่อนว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเก่า แต่ก็ไม่ไกลจากตัวเลขละเอียดเท่าใดนัก บรรดาแม่ยกทั้งหลายอย่าได้ถือเอาตัวเลขเหล่านี้มาโจมตีบิดเบือนว่าร้ายกันเลย ขอให้ดูเนื้อหาสาระจะดีกว่า
เพราะความเสียหายมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จึงเป็นภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท นับถึงวันนี้ก็จ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินที่กู้มาซื้อสินทรัพย์และในการแก้ไขสภาพคล่องในช่วงนั้นไปแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท และจะยังเป็นภาระต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาสินทรัพย์หรือเงินมาชำระเงินต้นได้ เอากันแค่ชำระดอกเบี้ยแต่ละปีก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจนเป็นภาระหนักของชาติที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
การขายทรัพย์สินรวมทั้งหุ้นธนาคารหลายแห่งก็ยังมีลักษณะฉ้อฉล เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องเรื่อยมา จึงทำให้มูลค่าหนี้สินไม่ลดน้อยถอยลงแต่ประการใด เงินที่ได้มาจากการขายสินทรัพย์ถูกใช้ไปในเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย
นี่คือความอัปยศและเป็นพยานหลักฐานของความผิดพลาดล้มเหลวทั้งด้านนโยบายและการบริหารจัดการในเรื่องหนี้สินรายนี้ ที่ต้องถือว่าเป็นภาระหนักที่สุดของชาติรายการหนึ่ง
นี่คือต้นเหตุและที่มาของรากความคิดของผู้คนในกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะต้องหาเงินมาชำระหนี้ประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนี้ให้จงได้
ดังนั้นนับตั้งแต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ แม้ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขบวนการดังกล่าวนั้นก็พยายามแสวงหาจังหวะและโอกาสที่จะแสวงหาเงินมาล้างหนี้สินจำนวนประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนี้ให้จงได้
และวิธีคิดก็มีอยู่รูปแบบเดียวตลอดมา คือต้องการล้วงเอาเงินในคลังหลวงทั้งหมดมาไว้ในอำนาจของตนเองเสียก่อน และเมื่อเงินคลังหลวงทั้งหมดมาอยู่ในอำนาจตนเองแล้วก็ค่อยๆ ยักย้ายถ่ายไปชำระหนี้ประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนั้น
โดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกันตลอดมาว่าเงินคลังหลวงมีมากเกินไป ไม่ได้ประโยชน์ ควรจะเอาไปแสวงหาประโยชน์หรือเอาไปลงทุนหรือเอาไปชำระหนี้สิน
แต่ที่คนเหล่านี้ไม่ยอมพูดความจริงกับประชาชนก็คือ เงินคลังหลวงทั้งหมดนั้นไม่ใช่เงินของรัฐบาล ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง และไม่ใช่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีใครมีสิทธิหรือมีอำนาจที่จะเอาไปใช้ได้
เพราะเอาไปใช้เมื่อใดเงินบาทในธนาคารหรือในกระเป๋าของทุกคนก็จะกลายเป็นเศษกระดาษและเป็นเพียงเหรียญโลหะที่ไร้ค่าไปในทันที เพราะตัวหลักประกันของมูลค่าถูกเขาเอาไปใช้เสียแล้ว
เงินในคลังหลวงทั้งหมดในขณะนี้มีประมาณ 4-5 ล้านล้านบาท นี่คือเงินบาท คือหลักประกันค่าเงินบาทของคนไทยและของชาติทั้งหมดรวมกัน คนพวกนั้นคิดจะเอาเงินนี้ไปใช้หนี้ 1,400,000 ล้านบาท เพื่อไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยปีละ 60,000 ล้านบาท แต่กลับจะควักล้วงปล้นเงินคลังหลวงทั้งหมดไปไว้ในอำนาจจัดการเสียเอง มันก็เกินไป
ในฐานะคนไทย แม้ว่าเห็นถึงความฉ้อโกง ฉ้อฉล ปล้นชาติและความเสียหายอันเป็นที่มาของภาระหนี้ 1,400,000 ล้านบาท และต้องการเรียกร้องให้หาคนผิดมาลงโทษ แต่ก็เห็นใจที่ภาระดอกเบี้ยปีละ 60,000 ล้านบาทนั้นเป็นภาระของประเทศอย่างหนักหนาสาหัส แต่ซึ่งจะให้เอาเงินคลังหลวงทั้งหมดไปให้คนเหล่านั้นจัดการก็เท่ากับทำลายประเทศไทยและคนไทยทั้งประเทศด้วยเช่นกัน
ไม่อาจทำใจได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจวางเฉยได้ เหตุนี้จึงจำใจต้องแนะนำรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยว่า จะเอาเงินประชาชนและเงินของชาติมาใช้ก็ต้องหยิบยืม ไม่ใช่ฉ้อฉลปล้นชิงเอาดังที่คิดอ่านกันมา ส่วนค่าดอกเบี้ยจะคิดน้อยเท่าใดก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นจึงบอกกล่าวให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังออกพันธบัตร 1,400,000 ล้านบาท หรือจำนวนเท่ากับที่เป็นหนี้อยู่ กู้เงินจากคลังหลวงมาชำระหนี้เสีย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี และชำระคืนในเวลา 20-50 ปีก็ได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องมีปัญหากันอีกต่อไป.
จึงทำให้เป็นที่จับตามองว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาทำอะไรกับบ้านเมืองอีก เพราะเหตุการณ์ ปรส. ที่เอาทรัพย์สมบัติของชาติไปขายเลหลังถูกๆ ให้ฝรั่งเข้ามาปล้นสะดมนักธุรกิจไทยยังเป็นแผลคาใจอยู่ในปัจจุบัน
ผู้คนจับตามองกันไม่กี่วัน ก็เริ่มมีข่าวออกลายให้ปรากฏว่ากำลังมีการเตรียมการที่จะออกกฎหมายแก้ไขกฎหมายเงินทุนสำรองเงินตรา พูดง่ายๆ ว่ารวมบัญชีเกี่ยวกับเงินตราทั้งหมดให้อยู่ในอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง
พูดง่ายๆ ก็คือเอาเงินคลังหลวงทั้งหมดให้มาอยู่ในอำนาจบริหารจัดการที่จะจัดการได้ตามนโยบายของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ต้องอยู่ในภาระที่จะต้องดำรงไว้เพื่อเป็นหลักประกันค่าเงินบาทที่ทุกคนมีถือมีใช้กันอยู่อีกต่อไป
เพราะเมื่อรวมบัญชีกันแล้ว ภาระการดำรงกองทุนเงินตราทั้งหมดเพื่อเป็นหลักประกันของค่าเงินบาทก็เป็นอันหมดไป และรัฐบาลรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยก็สามารถนำเงินไปใช้ได้ตามที่จะกำหนดเป็นนโยบายหรือที่เห็นสมควรต่อไป
ถ้าโชคดีมีผลให้การใช้เงินนั้นเป็นประโยชน์งอกเงยก็ดีไป แต่ถ้าโชคร้ายเกิดความฉิบหายขึ้นกับเงินเหล่านั้นแล้ว เงินบาทของไทยก็จะกลายเป็นเงินกงเต็กในทันใดนั้น
ดังนั้นพลันที่มีข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น เสียงตะโกนก้องก็กระหึ่มไปทั้งเมืองว่า ระวัง ระวัง จะมีคนปล้นคลังหลวงอีกแล้ว!
คณะศิษย์หลวงตาพระมหาบัวซึ่งมีฐานะประหนึ่งองครักษ์พิทักษ์คลังหลวง พอทราบข่าวเรื่องนี้ก็ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างชัดเจน
แม้บรรดาผู้ที่เคยติดตามเรื่องนี้มาในอดีต ไม่ว่าในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย หรือรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พากันคัดค้านและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับรัฐบาล โดยจะไม่แยแสต่อการคุกคามของอำนาจเก่าที่ส่อเค้าว่าจะรุนแรงอีกต่อไป
ก็คงเป็นด้วยน้ำใจว่าหากคลังหลวงถูกปล้นเสียแล้ว การดำรงคงอยู่ของประเทศชาติก็ไร้ความหมายอีกต่อไป เมื่อไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จึงพร้อมใจกันคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยว
ก็ต้องชื่นชมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่รับฟังและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนความห่วงใยของผู้คนที่ห่วงใยในเรื่องเงินคลังหลวงนี้ จึงได้รีบแสดงท่าทีใหม่ว่าจะไม่แก้กฎหมายรวมเงินทุนสำรองเงินตราทั้ง 3 บัญชีอีกต่อไป
นับว่าเป็นการปรับท่าทีใหม่ได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเสียรังวัดไปมากกว่านี้ แต่ทว่าเรื่องนี้ก็มีที่ไปที่มาและมีเรื่องที่มีความจำเป็นแฝงอยู่จริงๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความคิดที่จะเอาเงินคลังหลวงไปใช้
และเมื่อมีความคิดจะเอาเงินคลังหลวงไปใช้แล้วก็เลยเถิดคิดรวบเอาเงินคลังหลวงเข้ามาอยู่ในอำนาจใช้สอยของหน่วยงานบางหน่วยเสียทั้งหมดแต่ผู้เดียว โดยไม่แยแสว่าเงินคลังหลวงนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล ไม่ใช่เงินของกระทรวงการคลัง และไม่ใช่เงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีสิทธิที่จะเอาไปใช้ฟรีๆ ตามอำเภอใจหรือตามใจชอบ
เพราะมันเป็นเงินของประชาชนและของประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นเงินที่ต้องดำรงและสำรองไว้เพื่อเป็นหลักประกันให้กระดาษและโลหะที่ได้ชื่อว่าเป็นธนบัตรและเหรียญกษาปณ์มีมูลค่าและราคาที่ตราไว้ หากไม่มีหลักประกันนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ก็จะกลายเป็นเงินกงเต็กสำหรับเซ่นไหว้ผีไปในทันที
อะไรที่คิดมากทำมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ดังนั้นอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความคิดเช่นนี้และความพอดีอยู่ที่ไหน จะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันสักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยมีความร้อนใจในภาระหนักที่เกิดจากความฉิบหายครั้งใหญ่ในการแก้วิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2540
เป็นผลจากการยึดเอาทรัพย์สมบัติของธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 50 แห่ง โดยรัฐบาลกู้เงินมาชำระหนี้เงินฝากแทนสถาบันการเงินเหล่านั้น แล้วรับเอาสินทรัพย์มูลค่าเท่ากันมาบริหารจัดการ
แต่เพราะมีการขายชาติ โกงชาติ ขายทรัพย์สินเหล่านั้นไปให้กับต่างชาติในราคาถูกๆ ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นมูลค่าประมาณ 1,400,000 ล้านบาท
ก็ต้องบอกก่อนว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเก่า แต่ก็ไม่ไกลจากตัวเลขละเอียดเท่าใดนัก บรรดาแม่ยกทั้งหลายอย่าได้ถือเอาตัวเลขเหล่านี้มาโจมตีบิดเบือนว่าร้ายกันเลย ขอให้ดูเนื้อหาสาระจะดีกว่า
เพราะความเสียหายมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จึงเป็นภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท นับถึงวันนี้ก็จ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินที่กู้มาซื้อสินทรัพย์และในการแก้ไขสภาพคล่องในช่วงนั้นไปแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท และจะยังเป็นภาระต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาสินทรัพย์หรือเงินมาชำระเงินต้นได้ เอากันแค่ชำระดอกเบี้ยแต่ละปีก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจนเป็นภาระหนักของชาติที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
การขายทรัพย์สินรวมทั้งหุ้นธนาคารหลายแห่งก็ยังมีลักษณะฉ้อฉล เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องเรื่อยมา จึงทำให้มูลค่าหนี้สินไม่ลดน้อยถอยลงแต่ประการใด เงินที่ได้มาจากการขายสินทรัพย์ถูกใช้ไปในเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย
นี่คือความอัปยศและเป็นพยานหลักฐานของความผิดพลาดล้มเหลวทั้งด้านนโยบายและการบริหารจัดการในเรื่องหนี้สินรายนี้ ที่ต้องถือว่าเป็นภาระหนักที่สุดของชาติรายการหนึ่ง
นี่คือต้นเหตุและที่มาของรากความคิดของผู้คนในกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะต้องหาเงินมาชำระหนี้ประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนี้ให้จงได้
ดังนั้นนับตั้งแต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ แม้ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขบวนการดังกล่าวนั้นก็พยายามแสวงหาจังหวะและโอกาสที่จะแสวงหาเงินมาล้างหนี้สินจำนวนประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนี้ให้จงได้
และวิธีคิดก็มีอยู่รูปแบบเดียวตลอดมา คือต้องการล้วงเอาเงินในคลังหลวงทั้งหมดมาไว้ในอำนาจของตนเองเสียก่อน และเมื่อเงินคลังหลวงทั้งหมดมาอยู่ในอำนาจตนเองแล้วก็ค่อยๆ ยักย้ายถ่ายไปชำระหนี้ประมาณ 1,400,000 ล้านบาทนั้น
โดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกันตลอดมาว่าเงินคลังหลวงมีมากเกินไป ไม่ได้ประโยชน์ ควรจะเอาไปแสวงหาประโยชน์หรือเอาไปลงทุนหรือเอาไปชำระหนี้สิน
แต่ที่คนเหล่านี้ไม่ยอมพูดความจริงกับประชาชนก็คือ เงินคลังหลวงทั้งหมดนั้นไม่ใช่เงินของรัฐบาล ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง และไม่ใช่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีใครมีสิทธิหรือมีอำนาจที่จะเอาไปใช้ได้
เพราะเอาไปใช้เมื่อใดเงินบาทในธนาคารหรือในกระเป๋าของทุกคนก็จะกลายเป็นเศษกระดาษและเป็นเพียงเหรียญโลหะที่ไร้ค่าไปในทันที เพราะตัวหลักประกันของมูลค่าถูกเขาเอาไปใช้เสียแล้ว
เงินในคลังหลวงทั้งหมดในขณะนี้มีประมาณ 4-5 ล้านล้านบาท นี่คือเงินบาท คือหลักประกันค่าเงินบาทของคนไทยและของชาติทั้งหมดรวมกัน คนพวกนั้นคิดจะเอาเงินนี้ไปใช้หนี้ 1,400,000 ล้านบาท เพื่อไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยปีละ 60,000 ล้านบาท แต่กลับจะควักล้วงปล้นเงินคลังหลวงทั้งหมดไปไว้ในอำนาจจัดการเสียเอง มันก็เกินไป
ในฐานะคนไทย แม้ว่าเห็นถึงความฉ้อโกง ฉ้อฉล ปล้นชาติและความเสียหายอันเป็นที่มาของภาระหนี้ 1,400,000 ล้านบาท และต้องการเรียกร้องให้หาคนผิดมาลงโทษ แต่ก็เห็นใจที่ภาระดอกเบี้ยปีละ 60,000 ล้านบาทนั้นเป็นภาระของประเทศอย่างหนักหนาสาหัส แต่ซึ่งจะให้เอาเงินคลังหลวงทั้งหมดไปให้คนเหล่านั้นจัดการก็เท่ากับทำลายประเทศไทยและคนไทยทั้งประเทศด้วยเช่นกัน
ไม่อาจทำใจได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจวางเฉยได้ เหตุนี้จึงจำใจต้องแนะนำรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยว่า จะเอาเงินประชาชนและเงินของชาติมาใช้ก็ต้องหยิบยืม ไม่ใช่ฉ้อฉลปล้นชิงเอาดังที่คิดอ่านกันมา ส่วนค่าดอกเบี้ยจะคิดน้อยเท่าใดก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นจึงบอกกล่าวให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังออกพันธบัตร 1,400,000 ล้านบาท หรือจำนวนเท่ากับที่เป็นหนี้อยู่ กู้เงินจากคลังหลวงมาชำระหนี้เสีย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี และชำระคืนในเวลา 20-50 ปีก็ได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องมีปัญหากันอีกต่อไป.