ASTVผู้จัดการรายวัน – ครม.ยืดเวลาไอซีทีอีก 60 วัน รายงานเรื่องการแก้สัญญาสัมปทาน ด้านคลังเตรียมชงครม.แจงแก้ไขสัญญาทำทีโอที /กสท เสียหาย1.38 แสนล้านบาท ด้านทีโอทีเคาะตัวเลขเสียหาย 1 แสนล้าน ผู้บริหารชินคอร์ปแถลงโต้คดียึดทรัพย์ ด้านกทช.ได้ประธานคนใหม่ ถกคำพิพากษาเกี่ยวข้องกทช.หรือไม่
วานนี้(9 มี.ค.) นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ขอขยายระยะเวลาในการพิจารณา เรื่องการแก้ไขสัมปทานของของบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ออกไปอีก 60 วัน
ก่อนหน้านั้น ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีที แจ้งว่า จะขอขยายระยะเวลาเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวไปเป็น 90 วัน เนื่องจากเห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.53 ในคดีที่อัยการร้องขอให้ยึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งร่ำรวยผิดปกติ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานฯ
“เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรอบครอบ ตามแนวพิจารณาของศาลฎีกาฯ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ จึงขอขยายระยะเวลาไป 90 วัน”
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. แจ้งว่า กรณีนี้นายกรัฐมนตรีเห็นว่า แม้ รมว.ไอซีที แจ้งว่า จะต้องรอคำพิพากษาจากศาลฎีกาฯ แต่ครม.ขอให้เร่งดำเนินการเนื่องจากเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ขณะเดียวกันรมว.ไอซีที ระบุว่า การที่ขอครม.ขยายไปอีก 90 วัน เนื่องจากศาลฎีกา เปิดโอกาสให้มีการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน เพราะหากจะดูคำพิพากษาก็อาจจะต้องใช้เวลาพิจารณาอีก 30 วัน
ทั้งนี้ มีรายงานแจ้งว่า กระทรวงการคลัง จะเสนอ ครม.เศรษฐกิจในวันจันทร์ ที่ 15 มี.ค.เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม ของทีโอทีและกสท โดยกระทรวงการคลัง เคยทำรายงานสรุปครม.เศรษฐกิจเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม ที่ทีโอทีและกสทมอบให้กับบริษัทเอกชน โดยที่ไม่ผ่านขั้นตอนของพ.ร.บ.ร่วมการงานปี 2535 ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ทำให้รัฐเสียรายได้คิดเป็นเงินถึง 1.38 แสนล้านบาท แยกเป็นความเสียหายของทีโอทีจำนวน 8.73 หมื่นล้านบาท และความเสียหายของกสทจำนวน 5.06 หมื่นล้านบาท
ทีโอทีเคาะเสียหายแสนล.
นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานทีโอทีซึ่งมีนายมนต์ชัย หนูสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นประธานได้ประเมินมูลค่าความเสียหายที่เป็นผลจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทีโอทีมีประมาณ 1 แสนล้านบาท
โดยแบ่งเป็นที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) หักส่วนแบ่งรายได้ไปเป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม และการปรับลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) เหลือ 20 % จนหมดอายุสัมปทาน รวมทั้งการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ โดยอนุญาตให้เอไอเอสหักค่าใช้จ่ายในส่วนการใช้เครือข่ายร่วม (โรมมิ่ง) ออกจากรายได้
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ทีโอทีต้องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นไรต่อไป อาทิ การฟ้องศาลแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ขณะเดียวกันการที่จะให้คู่สัญญากลับมาใช้สัญญาสัมปทานหลักแบบเดิม ก่อนที่จะมีการแก้ไขนั้น มองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะสัญญาดังกล่าวถือว่ามีความผูกพันกันอยู่ การจะบังคับให้กลับมาใช้สัญญาสัมปทานหลัก คงต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการพิจารณาของศาลอีกครั้ง
ด้านพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคำพิพากษาศาลฏีกาฯ ของกระทรวงไอซีทีเปิดเผยว่า วันนี้(10มี.ค.) จะยังไม่มีการแถลงความคืบหน้าในการดำเนินการแต่อย่างใด เพราะทีโอทีและบริษัท กสท โทรคมนาคม ยังไม่ได้รายงานความเสียหายและผลกระทบจากคำพิพากาษาของศาลมายังคณะกรรมการ
ชินคอร์ปแถลงโต้
ทั้งนี้ในวันนี้ (10 มี.ค.) เวลา 13.30 น.นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จะแถลงชี้แจงความจริงและทำความเข้าใจที่ถูกต้องกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.และได้มีการนำเสนอข่าวในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวโยงถึงกลุ่มชินคอร์ป
'ประสิทธิ์' ประธานกทช.คนใหม่
นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ รักษาการประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่าที่ประชุมกทช.วานนี้ (9 มี.ค. ) ได้มีมติเลือกนายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ เป็นประธานกทช. โดยขั้นตอนต่อไปสำนักงานกทช.จะส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำชื่อเสนอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานกทช. ในวันเดียวกัน
ส่วนการสรรหาเลขาธิการกทช.นั้นคาดว่าจะดำเนินการได้หลังจากโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานกทช.อย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับกระบวนการสรรหาเลขาธิการกทช.จะขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมของกทช.ว่าจะใช้วิธีการใด ทั้งนี้ระหว่างที่ยังไม่มีประธานกทช.อย่างเป็นทางการ นายสุชาติจะรักษาการประธานกทช.ไปก่อน โดยในวันนี้(10มี.ค.) กทช.จะมีการประชุมบอร์ดในวาระปกติ โดยมีวาระการพิจารณากรณีศาลฎีกามีความเห็นเรื่องอำนาจหน้าที่ในการประมูล 3G ของกทช.ชุดเดิมและ พิจารณาเรื่องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกทช. หรือไม่
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ กทช.เปิดเผยว่า หลังจากได้ประธานกทช.ก็จะดำเนินการประการประกาศข้อสนเทศ (Information Memorandum : IM) 3G และเข้าสู่การประมูลต่อไป
วานนี้(9 มี.ค.) นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ขอขยายระยะเวลาในการพิจารณา เรื่องการแก้ไขสัมปทานของของบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ออกไปอีก 60 วัน
ก่อนหน้านั้น ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีที แจ้งว่า จะขอขยายระยะเวลาเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวไปเป็น 90 วัน เนื่องจากเห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.53 ในคดีที่อัยการร้องขอให้ยึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งร่ำรวยผิดปกติ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานฯ
“เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรอบครอบ ตามแนวพิจารณาของศาลฎีกาฯ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ จึงขอขยายระยะเวลาไป 90 วัน”
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. แจ้งว่า กรณีนี้นายกรัฐมนตรีเห็นว่า แม้ รมว.ไอซีที แจ้งว่า จะต้องรอคำพิพากษาจากศาลฎีกาฯ แต่ครม.ขอให้เร่งดำเนินการเนื่องจากเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ขณะเดียวกันรมว.ไอซีที ระบุว่า การที่ขอครม.ขยายไปอีก 90 วัน เนื่องจากศาลฎีกา เปิดโอกาสให้มีการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน เพราะหากจะดูคำพิพากษาก็อาจจะต้องใช้เวลาพิจารณาอีก 30 วัน
ทั้งนี้ มีรายงานแจ้งว่า กระทรวงการคลัง จะเสนอ ครม.เศรษฐกิจในวันจันทร์ ที่ 15 มี.ค.เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม ของทีโอทีและกสท โดยกระทรวงการคลัง เคยทำรายงานสรุปครม.เศรษฐกิจเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม ที่ทีโอทีและกสทมอบให้กับบริษัทเอกชน โดยที่ไม่ผ่านขั้นตอนของพ.ร.บ.ร่วมการงานปี 2535 ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ทำให้รัฐเสียรายได้คิดเป็นเงินถึง 1.38 แสนล้านบาท แยกเป็นความเสียหายของทีโอทีจำนวน 8.73 หมื่นล้านบาท และความเสียหายของกสทจำนวน 5.06 หมื่นล้านบาท
ทีโอทีเคาะเสียหายแสนล.
นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานทีโอทีซึ่งมีนายมนต์ชัย หนูสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นประธานได้ประเมินมูลค่าความเสียหายที่เป็นผลจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทีโอทีมีประมาณ 1 แสนล้านบาท
โดยแบ่งเป็นที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) หักส่วนแบ่งรายได้ไปเป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม และการปรับลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) เหลือ 20 % จนหมดอายุสัมปทาน รวมทั้งการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ โดยอนุญาตให้เอไอเอสหักค่าใช้จ่ายในส่วนการใช้เครือข่ายร่วม (โรมมิ่ง) ออกจากรายได้
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ทีโอทีต้องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นไรต่อไป อาทิ การฟ้องศาลแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ขณะเดียวกันการที่จะให้คู่สัญญากลับมาใช้สัญญาสัมปทานหลักแบบเดิม ก่อนที่จะมีการแก้ไขนั้น มองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะสัญญาดังกล่าวถือว่ามีความผูกพันกันอยู่ การจะบังคับให้กลับมาใช้สัญญาสัมปทานหลัก คงต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการพิจารณาของศาลอีกครั้ง
ด้านพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคำพิพากษาศาลฏีกาฯ ของกระทรวงไอซีทีเปิดเผยว่า วันนี้(10มี.ค.) จะยังไม่มีการแถลงความคืบหน้าในการดำเนินการแต่อย่างใด เพราะทีโอทีและบริษัท กสท โทรคมนาคม ยังไม่ได้รายงานความเสียหายและผลกระทบจากคำพิพากาษาของศาลมายังคณะกรรมการ
ชินคอร์ปแถลงโต้
ทั้งนี้ในวันนี้ (10 มี.ค.) เวลา 13.30 น.นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จะแถลงชี้แจงความจริงและทำความเข้าใจที่ถูกต้องกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.และได้มีการนำเสนอข่าวในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวโยงถึงกลุ่มชินคอร์ป
'ประสิทธิ์' ประธานกทช.คนใหม่
นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ รักษาการประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่าที่ประชุมกทช.วานนี้ (9 มี.ค. ) ได้มีมติเลือกนายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ เป็นประธานกทช. โดยขั้นตอนต่อไปสำนักงานกทช.จะส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำชื่อเสนอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานกทช. ในวันเดียวกัน
ส่วนการสรรหาเลขาธิการกทช.นั้นคาดว่าจะดำเนินการได้หลังจากโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานกทช.อย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับกระบวนการสรรหาเลขาธิการกทช.จะขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมของกทช.ว่าจะใช้วิธีการใด ทั้งนี้ระหว่างที่ยังไม่มีประธานกทช.อย่างเป็นทางการ นายสุชาติจะรักษาการประธานกทช.ไปก่อน โดยในวันนี้(10มี.ค.) กทช.จะมีการประชุมบอร์ดในวาระปกติ โดยมีวาระการพิจารณากรณีศาลฎีกามีความเห็นเรื่องอำนาจหน้าที่ในการประมูล 3G ของกทช.ชุดเดิมและ พิจารณาเรื่องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกทช. หรือไม่
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ กทช.เปิดเผยว่า หลังจากได้ประธานกทช.ก็จะดำเนินการประการประกาศข้อสนเทศ (Information Memorandum : IM) 3G และเข้าสู่การประมูลต่อไป
