xs
xsm
sm
md
lg

ไตรรงค์แกว่งปาก ลามหลวงตาบัว ซื้อเวลารวมบัญชี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "ไตรรงค์" แกว่งปาก! หยันหลวงตามหาบัวไม่เข้าใจแยก 3 บัญชีแบงก์ชาติทำประเทศเจ๊ง ลั่นเงินแค่หยดเดียวอ้างเป็นเจ้าของน้ำทั้งตุ่มไม่ได้ ด้าน รมว.คลังเผยทุนสำรองพุ่งได้เวลารวมบัญชีแต่ต้องศึกษาอีกระยะ

กรณีที่มีแนวคิดให้รวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้ง 3 บัญชี คือ บัญชีทุนสำรองเงินตรา บัญชีสำรองพิเศษ และบัญชีผลประโยชน์ประจำปี เหลือเพียงบัญชีเดียว นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า เป็นเรื่องที่สมควรทำมานานแล้ว เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหารงาน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปประเทศชาติจะเสียหาย เพราะระบบที่ใช้ในปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลต้องเสียเงินจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6-7 หมื่นล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูฯ แทนที่จะนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นเพื่อพัฒนาประเทศ

นายไตรรงค์ย้ำว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ที่เคยคัดค้านการนำเงินในคลังหลวงมาใช้ อาจไม่เข้าใจต่อความจำเป็นในเรื่องนี้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท. จึงต้องไปการทำความเข้าใจกับหลวงตามหาบัว ให้ทราบว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้สร้างความเสียหายต่อประเทศเพียงใด อย่างน้อยต้องส่งตัวแทนไปอธิบายข้อเท็จจริง และความจำเป็นทั้งหมด

"เงินของหลวงตามหาบัวเป็นเงินส่วนหนึ่งของเงินทั้งหมดที่มีอยู่ เหมือนกรณีที่มีน้ำหยดหนึ่งตกลงไปในตุ่ม แล้วจะมาบอกว่าน้ำที่หยดลงไป ถือเป็นน้ำทั้งหมดไม่ได้" นายไตรรงค์กล่าวและอ้างว่า นายกรัฐมนตรี รมว.คลังและผู้ว่าฯ ธปท. ได้หารือร่วมกันแล้ว ทุกคนเห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังประเทศไทยเผชิญวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 หลวงตามหาบัวเดินสายเรี่ยไรดอลลาร์และทองคำเข้าคลังหลวงเพื่อเยียวยาทุนสำรองของประเทศที่ได้รับความเสียหายจากการลดค่าเงินบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 53 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็นองค์ประธานพิธีฯ ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงตามหาบัวได้มอบทองคำแท่งอีก 450 กก.เข้าคลังหลวง หลังจากก่อนหน้านี้มอบทองคำเข้าคลังเพื่อกู้ชาติไปแล้ว 14 ครั้งรวม 11 ตัน 637.5 กิโลกรัม เมื่อรวมทองคำครั้งนี้เป็นครั้งที่ 15 ทองคำช่วยชาติทั้งสิ้น 12 ตัน 87.5 กิโลกรัม หรือมูลค่าประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท

***"กรณ์" ขอเวลาศึกษาให้ถี่ถ้วน
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวเห็นด้วยกับแนวทางนายไตรรงค์ เนื่องจากที่ผ่านมา ธปท.ไม่ได้เข้ามารับภาระของกองทุนฟื้นฟูฯ ประกอบกับขณะนี้เห็นว่าประมาณเงินทุนสำรองทางการมีมากถึง 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเกินความจำเป็นจึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทบทวนเรื่องดังกล่าว

ในปัจจุบันยังมีภาระหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯอีกประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังต้องรับภาระในการจ่ายดอกเบี้ยถึงปีละ 6.5 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินต้นมีการชำระคืนไปน้อยมาก ขณะที่พันธบัตรที่ออกให้กองทุนฟื้นฟูฯ ทยอยครบกำหนดประมาณปีละ 4 หมื่นล้านบาท แต่ที่ผ่านมาต้องรีไฟแนนซ์มาตลอด

อย่างไรก็ตามแนวทางที่จะดำเนินการนั้นคงต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่งเพราะสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการออกพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำหรือ 0% ให้ ธปท.ถือไว้แทนทุนสำรองทางการที่เปิดช่องให้ถือพันธบัตรรัฐบาลได้ 40% อยู่แล้วโดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ไปจนถึงการแก้ไขกฎหมายเพื่อรวมบัญชีของ ธปท. ซึ่งมีอยู่หลายบัญชีเพื่อให้นำเงินส่วนเกินออกมาใช้ประโยชน์ได้ แต่กรณีนี้ต้องหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องและชี้แจงต่อสังคมได้ ซึ่งคงจะใช้เวลาระยะหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ก็มีความพยายามเสนอกฎหมายรวมบัญชีของ ธปท.มาแล้วครั้งหนึ่งในรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่ตกไปในวาระที่ 3 เมื่อนำเข้าสภา

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีการรวมบัญชีของธปท. จะทำให้เงินสามารถไหลไปมาระหว่างกันได้ง่ายขึ้น และเปิดช่องให้นำเงินส่วนเกินมาใช้หนี้แทนกองทุนฟื้นฟูได้ โดยเบื้องต้นที่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันทีจากบัญชีผลประโยชน์ก็มีประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท หากนำมาจ่ายเงินต้นส่วนที่ครบกำหนดในปีนั้นก็ทำให้คลังไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในปีถัดๆ ไป

"ในบัญชีสำรองเงินตรานั้นมีเงินส่วนเกินหลายแสนล้าน น่าจะนำมาซื้อพันธบัตรคลังในอัตรา 0% หรือซีโร่ คูปอง บอนด์ได้ เพื่อนำไปชำระหนี้เงินต้นของกองทุนฟื้นฟู" ผอ.สบน.กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น