ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ ปลื้ม! หุ้นไทยบวกเพิ่ม 11 จุด จากนักลงทุนคลายความกังวลหลังการตัดสินยึดทรัพย์อดีตนายกฯไร้ความรุนแรง อีกทั้งปัจจัยนอกประเทศช่วยสนับสนุน ดันต่างชาติซื้อสุทธิ 4.3 พันล้าน ยกเว้นหุ้นเครือชินคอร์ปร่วงยกแผง เพราะความกังวลผลคำตัดสินกระทบธุรกิจ ด้าน “ภัทรียา” แนะนักลงทุนติดตามข้อมูลใกล้ชิด รอผลกระทรวงไอซีทีพิจารณาสัญญาสัปทาน ด้านบล.เคจีไอ ประเมินกรณีเลวร้ายสุดหากADVANCต้องจ่ายค่าชดเชยย้อนหลัง พร้อมส่วนแบ่งรายได้จะกระทบราคาหุ้น ถึง13.30บาทต่อหุ้น ฝั่งก.ล.ตระดมทีมกฎหมายวิเคราะห์คำตัดสิน สอบหุ้นในกลุ่มชินคอร์ป ชี้หากพบฐานความผิดพร้อมดำเนินการต่อทันที
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนื้(2มี.ค.) ดัชนีปิดที่ 733.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.82 จุด หรือ +1.64% มูลค่าการซื้อขาย 27,953.89 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 733.19 จุด และต่ำสุด 723.71 จุด ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหมายเพราะมีปัจจัยภายนอกประเทศที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี และตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ยืนบวก ส่วนปัจจัยในประเทศหลังตัดสินคดียึดทรัพย์ฯ แม้จะมีเหตุการณ์วางระเบิดขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังคุมสถานการณ์ได้ ทำให้วานนี้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่มาก ขณะเดียวกันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มชินคอร์ป ก็ถูกขายออกมามากเช่นกัน
โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) พบว่า หุ้นของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟ เวอร์วิส (ADVANC)ปรับลดลงสูงสุด โดยปิดที่ 84.25 บาท ลดลง3.75 บาท หรือ4.26% มูลค่าซื้อขาย 2,520.95 ล้านบาท ถัดมา บมจ. ไทยคม (THCOM) ปิดที่ 5.40 บาท ลดลง 0.65 บาท หรือ 10.74% มูลค่าซื้อขาย 178.17 ล้านบาท บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ปิดที่ 28.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 3.45% มูลค่าซื้อขาย 97.02 ล้านบาท และ บมจ. ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ปิดที่ 3.26 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 0.61% มูลค่าซื้อขาย 7.20 ล้านบาท ส่วนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเซท (SC) ปิดที่ 11.20 บาท -0.30 บาท หรือ 2.61% มูลค่าซื้อขาย 31.517 ล้านบาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,221.84 จุด เพิ่มขึ้น 49.78 จุด หรือ 0.49 % ด้านดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ อยู่ที่ระดับ 2,778.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.72 จุด หรือ 0.17 %
ส่วนการข้อมูลการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,025.11 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนในประเทศที่ขายสุทธิ 3,641.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 271.86 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 4,395.00 ล้านบาท
โยนไอซีทีชี้ชะตาหุ้นเครือชิน คอร์ป
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่าการที่หุ้นกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่นมีการปรับตัวลดลงนั้น จะจากนักลงทุนมีความกังวลว่าผลการตัดสินคดีนั้นจะมีผลกระทบกับธุรกิจหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่กระทบแต่ข่าวการตัดสินนั้นอาจเกี่ยวโยงกับธุรกิจโทรคมนาคมทำให้หุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงบ้าง แต่อยากให้นักลงทุนมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดในเรื่องจะมีการแก้ไขสัญญาสัปทานหรือไม่ หลังจากที่ศาลตัดสินว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของชินคอร์ป บมจ.แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส และบมจ.ไทยคอม ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)จะมีการพิจารณาอย่างไร โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ไม่ได้กระทบตรงกับทางบริษัท
มั่นใจต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย
ส่วน ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ให้ความเห็นว่า ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่วันก่อนหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 1-2% และวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5%และประกอบกับตลาดหุ้นไทยปิดทำการติดต่อกัน 3วัน ทำให้นักลงทุนมีการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด และเพียงพอหลังจากที่มีการคำตัดสินคดียึดทรัพย์ของ อดีตนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้จากการสอบถามบริษัทหลักทรัพย์ฯในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากที่มีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ฯนั้น บริษัทหลักทรัพย์ฯตอบว่าข่าวที่ออกมานั้นเป็นเชิงบวกต่อการลงทุนจากที่เรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนได้มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว และในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิหุ้นไทย 7,448.80 ล้านบาท
โดย จากนี้เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศก็จะมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตามปกติ โดยจะพิจารณาการลงทุนจากงบการเงินและเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552ที่ประกาศออกมา ส่วนการที่กลุ่มเสื้อแดงจะมีการนัดชุมนุมในวันที่ 12-14 มีนาคมนี้นั้น จะต้องมีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งเชื่อว่าทางรัฐบาลจะมีการดูแลสถานการณ์ที่ดี ส่วนกรณีที่มีจะมีกระแสข่าววางระเบิดนั้น หากรัฐบาลมีการควบคุมได้ไม่กระจายวงกว้างเชื่อว่าจะไม่ร้ายแรง ซึ่งส่วนตัวมองว่าคงจะไม่มีผู้ที่จะสร้างกระแสความกังวลที่รุนแรงขึ้นอีก
ก.ล.ต.ระดมทีมกม.วิเคราะห์คำตัดสิน
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ มีคำตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของก.ล.ต ได้มีการประชุมเพื่อนำคำพิพากษามาพิจารณาดูว่ามีส่วนใดที่ทำผิด หรือเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหากพบว่าเป็นความผิดบนฐานพรบ.หลักทรพัย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต.ก็จะดำเนินการต่อทันที ส่วนจะเกี่ยวข้องในประเด็นใด และก.ล.ต.จะดำเนินการอย่างไรนั้น ไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นเรื่องภายในของ ก.ล.ต.
โบรกฯเชื่อวันนี้ดัชนีดีดตัวขึ้นต่อ
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันประเด็นการเมืองภายในประเทศเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีการพิจารณาตัดสินยึดทรัพย์บางส่วนของอดีตนายกรัฐมนตรี และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จากก่อนหน้าที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง
สำหรับแนวโน้มวันนี้(3 มี.ค.) ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองรวมถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 12-14 มี.ค.ซึ่งประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้แนะติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบการลงทุนด้วย โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ถือ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 725-730 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 740 จุด
คาดADVANCจ่ายชดเชยย้อนหลังอ๊วก
ด้านบทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า ทางกระทรวงไอซีอี ได้รับหมอบหมายให้เข้าไปดูแลในเรื่องการแก้ไขสัญญาสัปทานในอดีตหลังจากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของADVANC ในการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า(พรีเพด)
ทั้งนี้บริษัทมองว่าประเด็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีตคงจะใช้เวลานานในการหาข้อสรุป ซึ่งบริษัทได้ประเมินแบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1. แม้ว่าบริษัทจะไม่คิดว่าการแก้ไขสัญญาสัปทานจะมีการฟ้งอร้องความเสียและมีการเรียกร้องค่าชดเชยย้อนหลังอย่างมีนัยสำคัญต่อ ADVANC แต่หาก ADVANC ต้องจ่ายค่าชดเชยย้อนหลังแล้วคาดว่าค่าชดเชยย้อนหลังจะอยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านบาท หรือกระทบต่อราคาหุ้น 7 บาทต่อหุ้น
2. ส่วนอัตราแบ่งรายได้จากการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดเพิ่มขึ้นไปที่ 30%จากนี้เป็นต้นไปจนหมดอายุสัมปทานจะได้รับผลกระทบ 1.86 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 6.30 บาทต่อหุ้น และ3.ในกรณีที่เลวร้ายสุดคือ ADVANC ต้องจ่ายค่าชดเชยย้อนหลังและอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 30% จากนี้เป็นต้นไปจนหมดอายุสัปทานจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นคิดเป็น 13.30 บาทต่อหุ้น
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนื้(2มี.ค.) ดัชนีปิดที่ 733.19 จุด เพิ่มขึ้น 11.82 จุด หรือ +1.64% มูลค่าการซื้อขาย 27,953.89 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 733.19 จุด และต่ำสุด 723.71 จุด ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหมายเพราะมีปัจจัยภายนอกประเทศที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี และตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ยืนบวก ส่วนปัจจัยในประเทศหลังตัดสินคดียึดทรัพย์ฯ แม้จะมีเหตุการณ์วางระเบิดขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังคุมสถานการณ์ได้ ทำให้วานนี้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่มาก ขณะเดียวกันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มชินคอร์ป ก็ถูกขายออกมามากเช่นกัน
โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) พบว่า หุ้นของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟ เวอร์วิส (ADVANC)ปรับลดลงสูงสุด โดยปิดที่ 84.25 บาท ลดลง3.75 บาท หรือ4.26% มูลค่าซื้อขาย 2,520.95 ล้านบาท ถัดมา บมจ. ไทยคม (THCOM) ปิดที่ 5.40 บาท ลดลง 0.65 บาท หรือ 10.74% มูลค่าซื้อขาย 178.17 ล้านบาท บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ปิดที่ 28.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 3.45% มูลค่าซื้อขาย 97.02 ล้านบาท และ บมจ. ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ปิดที่ 3.26 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 0.61% มูลค่าซื้อขาย 7.20 ล้านบาท ส่วนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเซท (SC) ปิดที่ 11.20 บาท -0.30 บาท หรือ 2.61% มูลค่าซื้อขาย 31.517 ล้านบาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,221.84 จุด เพิ่มขึ้น 49.78 จุด หรือ 0.49 % ด้านดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ อยู่ที่ระดับ 2,778.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.72 จุด หรือ 0.17 %
ส่วนการข้อมูลการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,025.11 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนในประเทศที่ขายสุทธิ 3,641.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 271.86 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 4,395.00 ล้านบาท
โยนไอซีทีชี้ชะตาหุ้นเครือชิน คอร์ป
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่าการที่หุ้นกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่นมีการปรับตัวลดลงนั้น จะจากนักลงทุนมีความกังวลว่าผลการตัดสินคดีนั้นจะมีผลกระทบกับธุรกิจหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่กระทบแต่ข่าวการตัดสินนั้นอาจเกี่ยวโยงกับธุรกิจโทรคมนาคมทำให้หุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงบ้าง แต่อยากให้นักลงทุนมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดในเรื่องจะมีการแก้ไขสัญญาสัปทานหรือไม่ หลังจากที่ศาลตัดสินว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของชินคอร์ป บมจ.แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส และบมจ.ไทยคอม ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)จะมีการพิจารณาอย่างไร โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ไม่ได้กระทบตรงกับทางบริษัท
มั่นใจต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย
ส่วน ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ให้ความเห็นว่า ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่วันก่อนหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 1-2% และวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5%และประกอบกับตลาดหุ้นไทยปิดทำการติดต่อกัน 3วัน ทำให้นักลงทุนมีการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด และเพียงพอหลังจากที่มีการคำตัดสินคดียึดทรัพย์ของ อดีตนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้จากการสอบถามบริษัทหลักทรัพย์ฯในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากที่มีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ฯนั้น บริษัทหลักทรัพย์ฯตอบว่าข่าวที่ออกมานั้นเป็นเชิงบวกต่อการลงทุนจากที่เรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนได้มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว และในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิหุ้นไทย 7,448.80 ล้านบาท
โดย จากนี้เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศก็จะมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตามปกติ โดยจะพิจารณาการลงทุนจากงบการเงินและเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552ที่ประกาศออกมา ส่วนการที่กลุ่มเสื้อแดงจะมีการนัดชุมนุมในวันที่ 12-14 มีนาคมนี้นั้น จะต้องมีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งเชื่อว่าทางรัฐบาลจะมีการดูแลสถานการณ์ที่ดี ส่วนกรณีที่มีจะมีกระแสข่าววางระเบิดนั้น หากรัฐบาลมีการควบคุมได้ไม่กระจายวงกว้างเชื่อว่าจะไม่ร้ายแรง ซึ่งส่วนตัวมองว่าคงจะไม่มีผู้ที่จะสร้างกระแสความกังวลที่รุนแรงขึ้นอีก
ก.ล.ต.ระดมทีมกม.วิเคราะห์คำตัดสิน
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ มีคำตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของก.ล.ต ได้มีการประชุมเพื่อนำคำพิพากษามาพิจารณาดูว่ามีส่วนใดที่ทำผิด หรือเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหากพบว่าเป็นความผิดบนฐานพรบ.หลักทรพัย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต.ก็จะดำเนินการต่อทันที ส่วนจะเกี่ยวข้องในประเด็นใด และก.ล.ต.จะดำเนินการอย่างไรนั้น ไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นเรื่องภายในของ ก.ล.ต.
โบรกฯเชื่อวันนี้ดัชนีดีดตัวขึ้นต่อ
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันประเด็นการเมืองภายในประเทศเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีการพิจารณาตัดสินยึดทรัพย์บางส่วนของอดีตนายกรัฐมนตรี และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จากก่อนหน้าที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง
สำหรับแนวโน้มวันนี้(3 มี.ค.) ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองรวมถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 12-14 มี.ค.ซึ่งประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้แนะติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบการลงทุนด้วย โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ถือ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 725-730 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 740 จุด
คาดADVANCจ่ายชดเชยย้อนหลังอ๊วก
ด้านบทวิเคราะห์บล.เคจีไอ ระบุว่า ทางกระทรวงไอซีอี ได้รับหมอบหมายให้เข้าไปดูแลในเรื่องการแก้ไขสัญญาสัปทานในอดีตหลังจากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของADVANC ในการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า(พรีเพด)
ทั้งนี้บริษัทมองว่าประเด็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีตคงจะใช้เวลานานในการหาข้อสรุป ซึ่งบริษัทได้ประเมินแบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1. แม้ว่าบริษัทจะไม่คิดว่าการแก้ไขสัญญาสัปทานจะมีการฟ้งอร้องความเสียและมีการเรียกร้องค่าชดเชยย้อนหลังอย่างมีนัยสำคัญต่อ ADVANC แต่หาก ADVANC ต้องจ่ายค่าชดเชยย้อนหลังแล้วคาดว่าค่าชดเชยย้อนหลังจะอยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านบาท หรือกระทบต่อราคาหุ้น 7 บาทต่อหุ้น
2. ส่วนอัตราแบ่งรายได้จากการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดเพิ่มขึ้นไปที่ 30%จากนี้เป็นต้นไปจนหมดอายุสัมปทานจะได้รับผลกระทบ 1.86 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 6.30 บาทต่อหุ้น และ3.ในกรณีที่เลวร้ายสุดคือ ADVANC ต้องจ่ายค่าชดเชยย้อนหลังและอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 30% จากนี้เป็นต้นไปจนหมดอายุสัปทานจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นคิดเป็น 13.30 บาทต่อหุ้น